DPU ปั้นผู้นำ Wellness ยุคใหม่ พลิกโฉมสุขภาพโลกผ่านแพทย์แบบบูรณาการ

21 พฤษภาคม 2568
รัชพล ธนศุทธิสกุล
  • faculty-mobile

ในยุคที่ผู้คนต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพที่ทั้งโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ความเครียด และสังคมผู้สูงวัยที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผู้คนจึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ “Wellness” หรือการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เทรนด์สุขภาพนี้ไม่เพียงสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก แต่ยังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจขนาดใหญ่ รายงานจาก Global Wellness Institute (GWI) คาดว่าอุตสาหกรรม Wellness ทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.3% ระหว่างปี 2023–2028 โดยในปี 2024 จะมีมูลค่าราว 6.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และขยายแตะเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2028 คิดเป็น 6.8% ของ GDP โลก สะท้อนว่า Wellness ไม่ใช่แค่เทรนด์แต่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและระบบสุขภาพในอนาคต

ผศ.นพ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ ที่ปรึกษาคณบดีฝ่ายวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ และอาจารย์ประจำหลักสูตรบัณฑิตศึกษา วิทยาลัยการแพทย์แบบบูรณาการ (CIMw) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ได้สะท้อนมุมมองว่า อุตสาหกรรม Wellness ในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมากจากศักยภาพด้านแหล่งท่องเที่ยว ธรรมชาติ อาหารไทย และองค์ความรู้ด้านการแพทย์ผสมผสานทั้งแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนปัจจุบัน หากมีการขับเคลื่อนเชิงระบบอย่างจริงจัง Wellness จะไม่ใช่แค่เทรนด์ชั่วคราว แต่จะกลายเป็นโอกาส ของประเทศ ในการยกระดับเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน

ผศ.นพ.พันธ์ศักดิ์ เปิดเผยว่า เทรนด์ Wellness กำลังเติบโตในหลายมิติ โดยหนึ่งในแนวโน้มหลักคือ “การดูแลสุขภาพเพื่อความสุขสบาย” ที่ครอบคลุมตั้งแต่ Wellness Real Estate เน้นการออกแบบที่อยู่อาศัยให้เอื้อต่อสุขภาวะ เช่น มีพื้นที่สีเขียว ระบบกรองอากาศ และสภาพแวดล้อมที่ไม่ก่อให้เกิดความเครียด, Wellness Tourism การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเน้นการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ รวมถึงเทรนด์ใหม่ที่มาแรงอย่าง Food Wellness ที่เน้นการกินอย่างมีสติและตระหนักรู้เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว และ Mental Wellness การดูแลสุขภาพจิตใจให้สมดุล มีสติ สามารถรับมือกับความเครียดและปัญหาในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะเดียวกัน เทรนด์สปาเพื่อสุขภาพ หรือ Spa Wellness มีการพัฒนาไปอีกขั้น จากสปาทั่วไปสู่ระดับ “Designer Spa” ที่ออกแบบให้เชื่อมโยงกับภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ เช่น การพอกโคลนเพื่อบำบัดความร้อนที่ทะเล Dead Sea (Thermal Therapy), การแช่ออนเซนที่ประเทศญี่ปุ่น หรือการฝึกโยคะและสมาธิในประเทศบาหลี ซึ่งเป็นการผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกับแนวคิดสุขภาพอย่างกลมกลืน

สำหรับประเทศไทยมีศักยภาพที่โดดเด่นในด้าน Wellness แบบองค์รวม ทั้งจากแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ อาหารไทยที่หลากหลายและดีต่อสุขภาพ ตลอดจนความรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยซึ่งเป็นที่ยอมรับ จึงเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะจากยุโรปและประเทศญี่ปุ่น จึงถือเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวด้านสุขภาพในภูมิภาค

ผศ.นพ.พันธ์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า โรงพยาบาลใหญ่ในประเทศไทยทั้งภาครัฐและเอกชนกำลังปรับแนวคิดทางการแพทย์จากการ “รักษาเมื่อเจ็บป่วย” ไปสู่ “การป้องกันก่อนป่วย” และเน้นการส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรงตั้งแต่ต้น และเริ่มเปิด Wellness Center มากขึ้น เช่นเดียวกับต่างประเทศอย่าง John Hopkins หรือ Cleveland Clinic ประเทศสหรัฐอเมริกาที่มองว่าการดูแลสุขภาพแนว Wellness จะเป็นแนวทางช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและทำเงินได้

สำหรับในอนาคต 10–20 ปีข้างหน้า เทรนด์ Wellness จะขับเคลื่อนผ่าน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1. เทรนด์ Wellness สำหรับผู้สูงวัย เมื่อไทยเข้าสู่ยุค Silver Age อย่างเต็มตัว การดูแลผู้สูงวัยให้ Active ช่วยเหลือตัวเองได้ จะลดภาระค่ารักษาพยาบาลและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี 2. เทรนด์ Fertility Wellness รองรับคนรุ่นใหม่ที่แต่งงานช้า มีลูกยาก หรือไม่อยากมีลูก เทคโนโลยี Assisted Reproductive Technology หรือ ART จะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก และอาจขยายไปถึงการปรับปรุงคุณภาพของไข่และสเปิร์มตั้งแต่วัยเด็ก และ 3. เทรนด์ Mental Wellness การฟื้นฟูพลังใจและการหาความสุขที่ยั่งยืนผ่านการออกกำลังกาย ฝึกหายใจ สมาธิ และ Forest Bathing เป็นการ “อาบป่า” ผ่านการเดิน สูดอากาศและอยู่กับธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจที่จะส่งผลต่อสมองและสุขภาพโดยรวมได้

อีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นใน Wellness คือเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AI และ Big Data โดยช่วยติดตามสุขภาพแบบเรียลไทม์ในผู้สูงวัย เช่น การตรวจจับท่าทางการล้ม ความดันผิดปกติ และส่งต่อข้อมูลไปยังศูนย์สุขภาพชุมชนหรือโรงพยาบาลทันที ถือเป็นการดูแลสุขภาพเชิงรุกที่ใช้เทคโนโลยีช่วยดูแลแบบ Personalization ที่แม่นยำและตรงจุด