DPU โอบรับความต่าง: 'พัสตราคูน' แบรนด์สร้างสรรค์ เย็บรวมหัวใจแม่-ลูกออทิสติก

24 มิถุนายน 2568
รัชพล ธนศุทธิสกุล
  • SDGs 8
  • 2025 การเรียนการสอน
  • SDGs 10
  • faculty-mobile

เธออาจไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ที่มีพละกำลังวิเศษใดๆ แต่กลับถือครองพลังแห่งการเดินเคียงข้างอย่างไม่ย่อท้อ พลังนี้ไม่เพียงเปลี่ยนเส้นทาง “น้องมิกซ์-ภวัต กิจนาคะเกศ” ลูกชายที่มีภาวะออทิสติกให้ก้าวไกล แต่ยังหล่อหลอมหัวใจ “แม่เปิ้ล-ชัญญา สิริประภาน” ในวัย 61 ปี ให้แข็งแกร่งและไม่หยุดเรียนรู้

ในอดีตแม่เปิ้ลเคยตั้งใจเรียนปริญญาโท MBA ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) ด้วยหวังใจจะทำธุรกิจของตัวเอง แต่เมื่อได้ใช้เวลาเรียนรู้และดูแลลูก เธอเห็นว่าเส้นทางของทั้งคู่สามารถไปด้วยกันได้ จึงเปลี่ยนความฝันเป็นความตั้งใจที่จะพาลูกก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

จากจุดเรียบง่ายนี้ “พัสตราคูน” แบรนด์เล็กๆ จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ด้วยเศษผ้าชิ้นเล็กๆ ที่ถูกเย็บรวมด้วยความรักและความหวังของแม่และลูก ที่เติบโตไปด้วยกันอย่างไม่หยุดยั้ง

ลูกชายฉันเป็นออทิสติก...แต่เขาเก่งกว่าที่คุณคิด

เมื่ออายุได้ 2 ขวบ ลูกชายแม่เปิ้ลถูกวินิจฉัยว่าเป็นออทิสติก แม้เธอจะยอมรับว่าเครียดมากในตอนแรก แต่สิ่งหนึ่งที่แพทย์ขีดเส้นใต้และกาดอกจันทร์บันทึกไว้คือ พรสวรรค์อันโดดเด่นของลูกชาย "ความจำทางสายตา" ที่เหนือชั้น

"ถ้าเราวัดเป็น IQ ปกติคนจะอยู่ที่ 90 แต่ของน้องอยู่ที่เกือบ 80 คือใกล้เคียงกับคนปกติมาก" แม่เปิ้ลเล่า พร้อมเสริมว่า น้องมิกซ์สามารถต่อจิ๊กซอว์ 60 ชิ้นได้ภายในไม่กี่นาที เพียงแค่เห็นภาพผ่านตาแวบเดียว นอกจากนี้เขายังเก่งภาษาจีน “จำอักษรภาพเป็นพันๆ ตัวได้หมด” คนเป็นแม่ยังอดปลื้มไม่หาย เมื่อครูแจ้งข่าวดีว่าเขาได้คะแนนสูงสุดในชั้นเรียน

“แต่ที่เขาชอบการวาดรูปที่สุด” เธอบอกต่ออย่างมีความสุข "เวลาวาดรูปเขานิ่งได้นานเป็นชั่วโมง"

และจากจุดนี้เองที่แม่เปิ้ลเห็นหนทางสดใส และตั้งเป้าหมายให้น้องมิกซ์ได้เรียนสูงๆ เพื่อต่อยอดความรักในศิลปะนี้ให้กลายเป็นอาชีพที่มั่นคง

เส้นทางไม่ง่าย แต่เติบโตได้พร้อมกัน

เพื่อโอกาสที่ดีที่สุดทางสังคมและการเรียนรู้ แม่เปิ้ลเริ่มต้นส่งน้องมิกซ์เข้าเรียนชั้นเตรียมอนุบาลที่โรงเรียนนานาชาติ ก่อนจะเข้าเรียนต่อในระดับประถมที่โรงเรียนเอกชน เพราะเชื่อมั่นว่ามาตรฐานและการดูแลใกล้ชิดจะเป็นกุญแจไขอนาคตที่ดีที่สุด

แม่เปิ้ลสู้สุดใจพยุงให้น้องมิกซ์ได้เรียนถึงเกรด 12 แต่ค่าใช้จ่ายในการรักษาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลับเป็นแรงผลักดันให้เธอต้องพาลูกชายเข้าสู่ระบบ กศน.

ที่นั่นแม่เปิ้ลได้เห็นเพื่อนร่วมชั้นของลูกชายไม่ได้มีเพียงเด็กจากครอบครัวธรรมดา บางคนเป็นลูกหมอ บางคนเป็นลูกนักธุรกิจ และทุกคนต่างมีเหตุผลของตนในการมาเรียนร่วมกันที่นี่ เธอจึงได้บทเรียนที่สำคัญและล้ำค่าว่า "ปัญหาที่เคยคิดว่าใหญ่โต” ในมุมของเรา อาจไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น เมื่อมองจากมุมของคนอื่น

"แม่ก็เติบโตไปพร้อมกับเขา" เธอกล่าวและยืนยันว่านี่ไม่ใช่แค่การปรับตัว หากแต่เป็นการเรียนรู้ไปพร้อมกัน โดยหลังจากจบ กศน. น้องมิกซ์ยังได้เรียนต่อ ปวส. สาขาการตลาดตามคำแนะนำของอาจารย์

ส่วนแม่เปิ้ลนอกเหนือจาก “บทบาทแม่” แล้วยังเป็น "ติวเตอร์ประจำบ้าน" คอยช่วยสรุปและนั่งลงอยู่ข้างๆ น้องมิกซ์เสมอ เพื่อทบทวนเนื้อหาในแบบที่ลูกชายเข้าใจที่สุด

DPU โอกาสที่เปิดกว้างสำหรับทุกหัวใจที่มุ่งมั่น

เมื่อจบ ปวส. แม่เปิ้ลเริ่มทบทวนเส้นทางอีกครั้ง ด้วยความคิดที่ว่า "ความรู้ด้านการตลาดมีแล้ว แต่ยังขาดทักษะด้านการออกแบบ" เธอจึงพาน้องมิกซ์มายัง มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จนได้เจอกับ “ประตูแห่งโอกาส” ซึ่งก็คือการได้พบกับ อาจารย์กีรติ ศรีสุชาติ รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา คณะศิลปกรรมศาสตร์ ผู้ซึ่งจุดประกายความหวังให้เธอกับลูกชายอีกครั้งด้วยประโยคสำคัญว่า "ที่นี่เราพร้อมเปิดโอกาสให้ทุกคน แม้ไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้"

ด้วยแนวคิด Zero to Hero ที่เปิดประตูให้ทุกคนเริ่มต้นใหม่ได้จากศูนย์ แม่เปิ้ลเล่าด้วยน้ำเสียงประทับใจครั้งแรก “แม่ถูกอาจารย์ตกในทันที” เพราะท่านใจดี เข้าใจ แถมยังมองเห็นศักยภาพที่ซ่อนอยู่ของทั้งคู่

อีกหนึ่งสิ่งพิเศษที่ DPU กล้าทำคือ การอนุญาตให้เธอเรียนในห้องเดียวกับลูกชาย โดยมีเพียงเงื่อนไขเล็กน้อยแค่เธอเข้าห้องสอบไม่ได้ และนั่นเพียงพอแล้วที่จะทำให้เธอตัดสินใจย้ายจากอีกมหาวิทยาลัย แม้จะต้องทิ้งค่าเทอมที่ได้ลงทะเบียนไว้หลักหมื่นบาท เพราะเธอเชื่อมั่นว่า “ที่นี่คือคำตอบที่ใช่”

"เขาเป็นคนที่มาตรงเวลา ไม่เคยสายแล้วก็ไม่เคยขาดเลย" อาจารย์กีรติ กล่าวถึงน้องมิกซ์ลูกชายของแม่เปิ้ลด้วยความชื่นชม แม้แรกเริ่มจะมีความกังวลกับการที่แม่มาเรียนด้วย แต่สุดท้ายความพยายามของลูกชายก็พิสูจน์ให้เห็นถึงความตั้งใจจริง "โดยเฉพาะแม่เขาพยายามมาก ผมยอมรับเลย อย่างวันนี้เป็นคอร์สอบรมระยะ สั้น ‘Basic Character Design’ จัดโดย DPU และ Wacom คุณแม่ก็มาเรียนเพิ่ม ทั้งๆ ที่เพิ่งจบรับปริญญาไปไม่กี่เดือน และก็มาแต่เช้าเลย”

Shadow Teacher ร่วมเรียน-เคียงข้าง

สำหรับแม่เปิ้ล การตัดสินใจมาเรียนที่ DPU ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอีกสิ่งหนึ่งในชีวิตที่เธอเลือกเดิน เพราะเธอต้องเป็นทั้งผู้สนับสนุนและ "Shadow Teacher" อย่างเต็มตัว รูปแบบบล็อกคอร์สที่เรียนเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ของ DPU ทำให้แม่เปิ้ลยังสามารถทำงานประจำวันจันทร์ถึงศุกร์ และดูแลลูกชายได้อย่างเต็มที่ในทุกๆ วัน อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย

"ช่วงเช้าแม่จดเลคเชอร์และถ่ายภาพสไลด์ไว้ทบทวนค่ะ" แม่เปิ้ลอธิบาย "ส่วนช่วงบ่าย น้องมิกซ์เขาเก่งคอมพิวเตอร์ก็จะเป็นคนช่วยเราแทน" ความร่วมมือที่เปี่ยมด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกันนี้กลายเป็นพลังใจที่เข้มแข็ง ความต่างของทักษะกลับเป็นส่วนเติมเต็มให้กันและกันได้อย่างลงตัว

ทั้งคู่ฝ่าฟันกับซอฟต์แวร์ยากๆ ทั้ง Adobe Illustrator, Premiere Pro และ After Effects "แรกๆ งงเลยค่ะ มันเยอะมากจริงๆ" แม่เปิ้ลเล่าถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญ แต่ด้วยความอดทนและความตั้งใจอันแน่วแน่ วันสอบมาถึง น้องมิกซ์ลูกชายก็ออกมาพร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง รอยยิ้มที่แม่เห็นแล้วก็อดปลื้มใจในความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ของลูกไม่ได้

ไม่มีคำว่า "แตกต่าง" มีแต่ "เข้าใจ" และ "ยอมรับ" อย่างอบอุ่น

ทุกเย็นวันศุกร์ น้องมิกซ์จะบอกด้วยรอยยิ้มว่า “แม่ พรุ่งนี้ต้องไปเรียนนะ” ประโยคสั้นๆ ที่ฟังดูธรรมดา แต่เต็มไปด้วยความหมายและสัญญาณว่าเขามีความสุข เหมือนการได้กลับไปหาสถานที่ที่เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง เป็นที่ที่เขารอคอยด้วยใจจริง

“ที่ DPU แม่ไม่เคยรู้สึกว่า ‘แตกต่าง’ หรือ ‘ด้อยกว่า’ ใครเลยค่ะ” แม่เปิ้ลเล่าด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย แต่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ไม่ใช่เพียงเพราะบรรยากาศการเรียนที่ยืดหยุ่น หรืออุปกรณ์ที่พร้อมรองรับการเรียนรู้ทุกรูปแบบ แต่เพราะที่นี่ให้ความรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น และเข้าใจความหลากหลายของนักศึกษาอย่างแท้จริง

จริง ทำให้บรรยากาศในห้องเรียนเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ทุกคนเข้าใจกัน และให้เกียรติกัน โดยไม่ต้องมีใครอธิบายอะไรให้มากมาย

หนึ่งในภาพจำของแม่เปิ้ลคือ เวลาที่น้องมิกซ์ร้องเพลงขึ้นมาในห้องเรียน บางวันเป็นจังหวะเงียบๆ บางวันก็ฮัมเพลงเบาๆ แต่สิ่งที่ตามมาคือรอยยิ้มจากเพื่อนร่วมชั้น และคำพูดติดตลกจากอาจารย์ว่า “เอ้อ ดีๆ” ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกผิด มีแต่เสียงหัวเราะที่เบาสบายและเต็มไปด้วยการยอมรับ

แม่เปิ้ลเห็นพัฒนาการของลูกชัดเจนขึ้น จากเด็กที่ไม่เคยจับโปรแกรมออกแบบมาก่อน ทุกวันนี้น้องมิกซ์กำลังสร้างงานของตัวเองด้วยความตั้งใจ สิ่งเหล่านี้อาจดูเล็กในสายตาคนอื่น แต่สำหรับแม่แล้ว มันคือก้าวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความหมาย ไม่แพ้เกรดเฉลี่ยสุดท้าย 3.73 ที่ลูกชายทำได้

จากความชอบสู่ธุรกิจ "พัสตราคูน" และอนาคตที่จับต้องได้

การเรียนที่ DPU ไม่ใช่แค่การได้ใบปริญญา แต่เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการสร้างอาชีพ แม่เปิ้ลเล่าถึงความประทับใจที่การเรียนที่นี่ "ได้ประสิทธิภาพและประสิทธิผลจริงๆ คือจบแล้ว เราสามารถสร้างอาชีพได้"

ผลงานที่สะท้อนสิ่งนั้นได้ชัดเจนคือ “ศิลปนิพนธ์” ของน้องมิกซ์ ที่นำเศษผ้าเหลือจากโรงงานมาสร้างสรรค์เป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ที่รองจาน ที่รองแก้ว ซองใส่ช้อนส้อม และถุงเก็บของหลากหลายรูปแบบ ภายใต้แบรนด์ที่ทั้งสองช่วยกันคิดชื่อว่า “พัสตราคูน”

คำว่า “พัสตรา” สื่อถึงผ้า ส่วนคำว่า “คูน” มาจากดอกคูน (หรือดอกราชพฤกษ์ ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติไทย) และยังแฝงนัยของการ “เพิ่มพูนคุณค่า” ทั้งต่อวัตถุดิบที่เคยไร้ราคา และชีวิตของผู้สร้างสรรค์ผลงานนั้นขึ้นมา

ในการทำงาน แม่เปิ้ลเป็นคนวาดแบบลงกระดาษ น้องมิกซ์เป็นคนขึ้นงานในคอมพิวเตอร์ และดูแลงานเพจและช่องทางออนไลน์ ทั้งคู่ทำงานประสานกันอย่างลงตัวเหมือนจิ๊กซอว์คนละชิ้นที่เข้ากันพอดี ไม่เพียงแค่นั้นทั้งคู่ยังมีแผนจะออกแบบสติกเกอร์ LINE เพื่อจำหน่ายในอนาคต รวมถึงรับงานดีไซน์อื่นๆ ระหว่างเรียน โดยน้องมิกซ์เคยออกแบบโลโก้ให้องค์กรญาติ ได้ค่าจ้างถึง 10,000 บาท แม้จะมีการแก้ไขหลายรอบ แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่เขาทำได้อย่างเต็มภาคภูมิ

นอกจากผลงานสร้างสรรค์เหล่านี้ น้องมิกซ์ยังมุ่งมั่นที่จะถ่ายทอดเรื่องราวและผลงานศิลปะของตัวเองสู่สาธารณะ คุณสามารถติดตามเขาได้ที่เฟซบุ๊ก Pawat Kijnakagade (คนอาร์ตออทิสติก) ซึ่งเขาใช้เป็นพื้นที่แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตในฐานะออทิสติก และนำเสนอผลงานศิลปะที่ได้เรียนรู้มา

“เขาทำให้แม่แปลกใจอยู่เสมอค่ะ เราไม่คิดว่าเขาจะทำได้ขนาดนี้ ก็ภูมิใจในตัวเขาจริงๆ” แม่เปิ้ล เปิดใจด้วยแววตาอบอุ่น พร้อมกล่าวขอบคุณ DPU ที่ทุกวันนี้แม้จะเรียนจบไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังไม่หลุดหายคือ “ความใส่ใจ” ที่ไม่เคยจางหายไป อาจารย์ยังคงส่งข่าวสารตำแหน่งงาน สนับสนุนข้อมูลกิจกรรมในวงการออกแบบ และยื่นโอกาสให้อยู่เสมอ

“เหมือนสวัสดิการหลังการขาย...แถมไม่เก็บเงินเพิ่มอีกด้วยนะคะ” แม่เปิ้ลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะทิ้งท้ายข้อคิดอันอบอุ่นจากหัวใจ "ถ้าเราทำได้ คุณก็ทำได้เหมือนกัน”

สิ่งสำคัญคือ "ประเมินศักยภาพของลูกเราว่าเขาไปได้ขนาดไหน พยายามเดินสายกลาง คือเราให้ลูกได้แค่ไหนก็เท่านั้น อย่าไปตึงเกินไป อย่าไปหย่อนเกินไป หรือว่าอย่าไปคาดหวังเกินไป" และเหนือสิ่งอื่นใด "เราต้องหาความรู้เยอะๆ" เพราะการเรียนรู้คือ "สิ่งจำเป็น" ที่จะช่วยให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง