
DPU พลิกโฉมการสอน ยกระดับอาจารย์เป็นวาทยกร ขับเคลื่อนห้องเรียนด้วย AI
เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ศูนย์ความเป็นเลิศเทคโนโลยีธุรกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) นำโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศิริเดช คำสุพรหม รองอธิการบดีสายงานภาคีสัมพันธ์ เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “เทคนิคการ Embed LLM เพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนในห้องเรียน” ครั้งที่ 2 โดยคณะกรรมการขับเคลื่อนการ Embed AI ในการเรียนการสอน กลุ่มวิชาการ1 เพื่อยกระดับทักษะคณาจารย์ให้สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Large Language Model (LLM) เช่น ChatGPT, Gemini และ Claude รวมถึง AI Platform DPU สำหรับพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษาแบบ Active Learning อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนคุณภาพด้านการศึกษา
อนาคตการศึกษา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ ตันประเสริฐ ผู้พัฒนาระบบ AI และรองประธานคณะกรรมการขับเคลื่อน Embed AI ในการเรียนการสอนของ DPU อธิบายว่า การนำ AI มาใช้ในห้องเรียนเป็นการต่อยอดจากระบบ AI Platform DPU ที่เริ่มใช้จริงตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 แตกต่างจากการใช้แชทบอททั่วไป เพราะระบบถูกออกแบบให้ช่วยกระตุ้นกระบวนการคิด วิเคราะห์ และสร้างทักษะให้กับผู้เรียน ไม่ใช่ให้คำตอบสำเร็จรูป
“ถ้า AI ตอบตรง ๆ นักศึกษาจะไม่ได้เรียนรู้ การออกแบบระบบของเราคือให้ AI เป็นตัวกระตุ้น ให้นักศึกษาต้องคิด ต้องลงมือวิเคราะห์ก่อนที่จะไปต่อ” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ กล่าว
พลิกอาจารย์เป็น “วาทยกร” คุม AI สร้างสรรค์
แนวคิดหลักที่เป็นหัวใจสำคัญของการอบรมในครั้งนี้คือ การเปลี่ยนบทบาทของอาจารย์จากผู้ถ่ายทอดความรู้ ไปเป็นผู้ออกแบบและกำกับกระบวนการเรียนรู้ ทำหน้าที่เหมือนกับ “วาทยกร” (Conductor) ที่คอยกำหนดจังหวะและทิศทางการเรียนรู้ของนักศึกษา พร้อมกับปล่อยให้ AI ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้รายบุคคล เพื่อให้นักศึกษาพัฒนาได้ตามความพร้อมและจังหวะของตนเอง
ดร.วริศ ลิ้มลาวัลย์ รองคณบดีสายงานบริหาร วิทยาลัยนานาชาติ (IC) หนึ่งในอาจารย์ DPU ผู้เข้าร่วมอบรมครั้งนี้ กล่าวว่า “นโยบายนี้ดีมาก เพราะหมายความว่าทั้งอาจารย์และนักศึกษาจะต้องรู้เท่าทัน AI ต้องเรียนรู้การวิเคราะห์ข้อมูลและประยุกต์ใช้จริง ไม่ใช่แค่ค้นหาแล้วเชื่อคำตอบที่ได้มา”
ดร.วริศ ยังมองเห็นโอกาสในการนำ AI ไปพัฒนาในหลากหลายศาสตร์ อาทิ โลจิสติกส์ การท่องเที่ยว และการบัญชี พร้อมทั้งยกตัวอย่างงานส่วนตัวที่ใช้ AI ช่วยประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร โดยนำ IoT และ AI สร้างแบบจำลองจากข้อมูลบางส่วนมาช่วยประเมิน
ปั้น “TA คู่ใจ” ประจำวิชา
สำหรับการอบรมแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ในช่วงเช้าของการอบรมมุ่งเน้นการถ่ายทอดแนวคิดและเทคนิคการสร้าง AI ผู้ช่วยสอน (Teaching Assistant: TA) ที่จะช่วยให้อาจารย์สามารถออกแบบ AI ให้ทำหน้าที่กระตุ้นกระบวนการคิดของนักศึกษา ตั้งคำถาม วิเคราะห์ข้อมูล และโต้ตอบในสถานการณ์สมมติหลากหลายรูปแบบ แทนแหล่งให้คำตอบสำเร็จรูปแบบเดิม
อาจารย์สิรภพ รุจรัตนพล อาจารย์ประจำสาขาการตลาดและการสร้างแบรนด์ในยุคดิจิทัล จากวิทยาลัยบริหารธุรกิจนวัตกรรมและการบัญชี (CIBA) ซึ่งเป็นผู้นำการสอนในช่วงนี้ อธิบายว่าการสร้าง AI ที่มีประสิทธิภาพ “ยิ่งอาจารย์สร้าง AI ผู้ช่วยได้มาก ก็ยิ่งช่วยแบ่งเบาภาระงานในห้องเรียนได้มากขึ้นตามไปด้วย และเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ไปโฟกัสเรื่องสำคัญได้มากยิ่งขึ้น” พร้อมกันนี้ ยังส่งเสริมให้นักศึกษาพัฒนาทักษะคิดวิเคราะห์ ฝึกตั้งคำถาม คิดเป็นระบบ และกล้าโต้ตอบในกิจกรรมการเรียนเพราะได้ Chat โต้ตอบกับ AI Platform DPU ที่เป็นเสมือนตัวแทนอาจารย์ผู้สอน
โดยบทบาทของ AI ที่สามารถออกแบบเพื่อส่งเสริมทักษะเหล่านี้มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ช่วยสอนที่กระตุ้นกระบวนการคิด, การเป็นคู่ฝึกโต้ตอบในสถานการณ์สมมติ, การนำเสนอมุมมองเชิงวัฒนธรรมที่หลากหลาย, การช่วยระดมความคิดในชั้นเรียน และการออกแบบโจทย์เฉพาะบุคคล
อาจารย์สิรภพ ยังกล่าวต่ออีกว่า หลังจากที่ได้เรียนรู้เทคนิคต่างๆ นี้ คณาจารย์ผู้เข้าร่วมอบรมต่างแสดงความกระตือรือร้นในการแลกเปลี่ยนตัวอย่างการประยุกต์ใช้ AI Platform DPU ในรายวิชาของตนเอง อาทิ อาจารย์ภัควดี วรรณพฤกษ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรม ได้นำเสนอการสร้าง AI เพื่อเป็นคู่ฝึกการโต้ตอบ (Role-Playing) เช่นเดียวกับอาจารย์จากวิทยาลัยนานาชาติ ที่สาธิตการใช้ AI เป็นผู้ช่วยสอน (TA) ซึ่งเน้นการวางโครงสร้างการเรียนรู้อย่างเป็นลำดับขั้น นอกจากนี้ ในวิชาภาษาจีน อาจารย์ผู้สอนยังสร้างกิจกรรมให้นักศึกษายังได้ฝึกวิเคราะห์และสื่อสารข้อมูลโดยการพูดคุยกับ AI ที่สวมบทบาทเป็นบริษัทเอเจนซี่ จนได้สรุปเป็นคำตอบที่สามารถนำไปใช้ได้จริง
เน้นลงมือคิด ห้องเรียนคือ “สนามซ้อม”
ขณะที่ในช่วงบ่าย การอบรมเข้มข้นด้วย Workshop ที่ผู้เข้าร่วมจะต้องสร้างกิจกรรมการเรียนการสอนผ่าน LLM โดยมีอาจารย์ผู้มีประสบการณ์ คอยให้คำแนะนำ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ ผู้ออกแบบระบบได้ชี้แจงว่า ระบบถูกสร้างมาให้ง่ายต่อการใช้งาน เพื่อให้อาจารย์ที่นำ AI ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน สามารถใช้งาน AI เป็นเสมือน TA ที่ช่วยสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา
การทำเช่นนี้จะกระตุ้นให้นักศึกษาต้องมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นและลงมือปฏิบัติจริง นักศึกษาจะต้องเป็นผู้เลือกเส้นทางและจังหวะการเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งต่างจากการเรียนรู้แบบทั่วไป โดยวิธีนี้ทุกคนจะก้าวไปยังขั้นต่อไปเมื่อตนเองพร้อม สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ ยังเปิดเผยถึงผลตอบรับ จากการนำระบบนี้ไปใช้จริงใน 17 วิชา พบว่านักศึกษามีส่วนร่วมในการเรียนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเกือบทุกรายวิชา และช่วยให้การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ที่เคยควบคุมได้ยาก เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เดินหน้าไต่คลื่น AI “มหาวิทยาลัยดิจิทัล”
ดร.เด่นเดช รักษ์รัตนตรัย อาจารย์ประจำวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี (CITE) และผู้ช่วยพัฒนาด้านเทคนิคในโครงการนี้ ให้มุมมองเพิ่มเติมว่า AI มีศักยภาพสูงมากในการเรียนรู้ “เป้าหมายของเราคือการใช้ AI เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ สร้างทักษะตามที่กำหนด” โดยเฉพาะการส่งเสริมกระบวนการคิดของนักศึกษาเวลาที่ได้มีการโต้ตอบกับ AI Platform DPU
“สิ่งที่เราต้องการสร้างเสริมให้กับนักศึกษา คือ Critical Thinking การคิดวิเคราะห์ และ Systematic Thinking การคิดอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่ท่องจำหรือรับข้อมูลแบบผิวเผิน” ดร.เด่นเดช ย้ำ การที่นักศึกษาใช้ AI เพียงเพื่อตั้งคำถามแล้วนำคำตอบทั้งหมดมาใช้ เท่ากับ ไม่ได้ความรู้ และไม่เกิดการจดจำ ทว่าหาก AI ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสม จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักศึกษา ฝึกตั้งคำถาม หาคำตอบด้วยเหตุผล ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาการคัดลอก และยังช่วยแบ่งเบาภาระอาจารย์ผู้สอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในส่วนของแผนการพัฒนาเพิ่มเติมในอนาคต DPU กำลังเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยการจัดตั้งเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางสำหรับ AI Platform DPU แบบรวมศูนย์ เพื่อใช้งานได้แบบเรียลไทม์ ตอบสนองการใช้งานสำหรับทุกคณะ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีระบบ KPI ติดตามความคืบหน้าในการนำ AI ไปประยุกต์ใช้ในรายวิชาได้อย่างเป็นระบบ การพัฒนานี้ไม่เพียงส่งเสริมความต่อเนื่องและรวดเร็ว แต่ยังทำให้ห้องเรียนกลายเป็น “สนามซ้อม” ซึ่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ กล่าวว่า “สนามซ้อมนี้จะช่วยผลักดันทั้งนักศึกษาและคณาจารย์ให้มีความก้าวหน้าทางด้านวิชาการในอนาคต”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธิติพงศ์ ยังย้ำถึงความจำเป็น สำหรับการพัฒนาด้านนี้ ที่ต้อง “ไต่คลื่น” เทคโนโลยี AI ที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วอยู่เสมอ พร้อมทั้งกล่าวขอบคุณทีมงานและอาจารย์ที่ร่วมกันขับเคลื่อน โดยระบุว่า “โครงการนี้เป็นโครงการกึ่งงานวิจัยที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา การได้บุคลากรมาร่วมแนวคิดและแลกเปลี่ยนข้อมูล จะช่วยให้เห็นช่องทางพัฒนาการเรียนการสอนแบบ Active Learning ได้อย่างแท้จริง”