
ศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) จัดงานเปิดตัวคอลเลกชันแฟชั่นสุดพิเศษ ‘เสวียนอู่’ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างคณะศิลปกรรมศาสตร์ และแบรนด์เสื้อผ้า ‘กรุยกราย บางกอก’ โดยมี ผศ.ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู รองอธิการบดีสายงานวิชาการ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมด้วยศิษย์เก่าเจ้าของแบรนด์ค้ำคูณ แบรนด์แม่ของกรุยกราย บางกอก “คุณบิวตี้โรส-บุญศักดิ์ ยุระตา” และ “คุณเบนซ์-อลัน วงศ์จันทร์คูณ” ดีไซเนอร์มากประสบการณ์ของแบรนด์ มาร่วมแชร์ประสบการณ์และแรงบันดาลใจในการออกแบบ เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 ณ ห้องประชุมสนม สุทธิพิทักษ์
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี ของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ซึ่งมุ่งเน้นการนำความรู้จากห้องเรียนสู่การปฏิบัติจริง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างรุ่นพี่ศิษย์เก่าและรุ่นน้องในคณะ โดยการร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างสรรค์ผลงาน แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษาชั้นปีที่ 3 จำนวนกว่า 50 คน ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของผู้ที่ประสบความสำเร็จในวงการแฟชั่นแบบครบวงจร ตั้งแต่การสร้างสรรค์ไอเดีย การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงการวางแผนการตลาด เพื่อสร้างสรรค์คอลเลกชันตรุษจีนปี 2025 ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด
การทำงานร่วมกันระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง
ในงาน ผศ.ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู รองอธิการบดีสายงานวิชาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ได้กล่าวถึงความภาคภูมิใจที่เห็นศิษย์เก่าประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ 'ค้ำคูณ' ของคุณบิวตี้ และ 'กรุยกราย บางกอก' ที่ได้รับความนิยม
ผศ.ดร.พัทธนันท์ ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำความรู้จากหลักสูตรมาประยุกต์ใช้ในการสร้างแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จ พร้อมกับกล่าวถึงการสร้างเครือข่ายระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้อง เพื่อพัฒนาวงการแฟชั่นให้ก้าวหน้า โดยหวังว่าโครงการนี้จะเป็นเวทีให้ศิษย์เก่าและอาจารย์ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และร่วมมือกันต่อไป
จากแรงบันดาลใจสู่การออกแบบจากประสบการณ์จริง
ส่วนการเสวนาพิเศษครั้งนี้ “คุณบิวตี้-บุญศักดิ์ ยุระตา” และ “คุณเบนซ์-อลัน วงศ์จันทร์คูณ” ได้มาเปิดใจแบ่งปันเรื่องราวเบื้องหลังการออกแบบที่น่าสนใจ โดยคุณบิวตี้ได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของแนวคิดคอลเลกชัน ‘เสวียนอู่’ ที่ได้แรงบันดาลใจจากเทพเจ้าจีน ซึ่งมีลักษณะเป็นเต่า ที่มีหัวเป็นงู ทำให้เกิดการต่อยอดแนวคิดไปสู่การค้นคว้าและประยุกต์ใช้ในงานออกแบบได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเต่าเป็นสัตว์ที่มีมากในมหาวิทยาลัย และงูเป็นปีนักษัตร 2568 ใช้สีน้ำตาลซึ่งเป็นสีประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์ซึ่งตรงกับสี Mocha Moose ซึ่งเป็นสีเทรนด์จากค่าย Pantone ในปี 2025 พอดี จึงได้ผลงานตรุษจีนในโทนสีที่น่าสนใจและเปลี่ยนไปจากเดิม
นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการนำประแจจีนดัดแปลงจากโลโก้คณะศิลปกรรมศาสตร์ เรียงร้อยเป็นเชิงผ้าโดยได้แรงบันดาลใจจากเชิงผ้าซิ่น ซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทย มาใช้ในการออกแบบลายผ้า อีกทั้งคุณเบนซ์ยังได้เสริมถึงเรื่องการจัดวางองค์ประกอบต่างๆเป็นลวดลายที่ต้องใช้เรื่องการวางจังหวะและสีอย่างลงตัว โดยใช้ประสบการณ์จากการเรียนในคณะศิลปกรรมศาสตร์ และจากการเสพงานศิลปะและวัฒนธรรมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นแหล่งบ่มเพาะแรงบันดาลใจที่ไม่มีวันสิ้นสุด พร้อมทั้งสนับสนุนให้ก้าวข้ามความกลัวและทดลองทำสิ่งใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง
คุณบิวตี้และคุณเบนซ์ ยังได้เน้นย้ำถึง ความสำคัญของการมีคอนเซ็ปต์และแรงบันดาลใจที่ชัดเจนในการออกแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักศึกษาในคณะศิลปกรรมศาสตร์ได้เรียนรู้เป็นพื้นฐานของการออกแบบ และได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้นจากการร่วมมือครั้งนี้ที่ได้เห็นกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบผลิตเป็นสินค้าเพื่อขายและการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการขาย นอกจากนี้ทั้งสองท่านยังได้กล่าวถึงคอลเลกชันใหม่ๆที่กำลังจะตามมาในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะมีความโดดเด่นและแตกต่างอย่างแน่นอน
การสร้างแบรนด์ ต้องเรียนรู้เรื่องธุรกิจควบคู่การออกแบบ
คุณบิวตี้ได้ให้ข้อคิดที่สำคัญว่า ในการออกแบบคอลเลคชั่นของแบรนด์เราต้องพิถีพิถันในการออกแบบและผลิตออกมาอย่างตั้งใจและสวยงามอย่างเต็มทีที่สุด โดยใช้มุมมองทางศิลปะและประสบการณ์ บอกได้ว่าใช่หรือไม่ใช่ และสิ่งที่สำคัญ น้องนักศึกษาต้องไม่ลืมว่า“การออกแบบไม่ใช่แค่เรื่องของศิลปะ” หากแต่คือ การแก้ปัญหาให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าทั้งเรื่องคุณภาพ เรื่องเวลา งานออกแบบต้องสามารถสื่อสารได้ สื่อสารเร็ว และสร้างมูลค่า
คุณบิวตี้ ยังได้บอกอีกว่า การเข้าใจในการสื่อสารแต่ละช่องทางเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับแบรนด์กรุยกรายบางกอกและแบรนด์ค้ำคูณ การเลือกภาพที่เหมาะสมกับแต่ละช่องทางการสื่อสารจะถูกคิดและวางแผนมาอย่างดีว่า ต้องการสื่ออะไร ต้องการให้ผู้ที่เข้ามาชมเห็นอะไร รวมถึงการเขียนแคปชั่นในการสื่อสารก็ต้องใช้ศิลปะในการเล่าเรื่อง โดยบรรยายลักษณะเด่นและคุณสมบัติของสินค้าอย่างไร ที่จะสร้างความเข้าใจและความประทับใจให้ผู้อ่าน
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ได้ และเป็นสิ่งที่แบรนด์ทำมาตลอด ทำให้มีลูกค้าที่มีความภักดีในแบรนด์ ติดตามรอคอยสินค้าใหม่ของแบรนด์เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้การทำการตลาดที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีห้างสรรสินค้าชั้นนำแห่งหนึ่งได้นำผลงานไปใช้ในการยิงแอด และส่งให้แบรนด์ยิ่งเป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น
การสร้างแบรนด์ให้มีตัวตนอย่างชัดเจน จะสร้างให้เกิดแรงดึงดูดให้คู่ค้าทางธุรกิจอยากมาร่วมลงทุน หรือจ้างให้ผลิตสินค้า โดยปกติแต่ละโปรเจกต์ที่มีมูลค่าหลายแสน แต่การเข้ามาให้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในครั้งนี้ ทางแบรนด์มีความตั้งใจจริงที่ต้องการเข้ามาช่วย และอยากนำประสบการณ์การทำงานจริงจนประสบความสำเร็จมาถ่ายทอดให้รุ่นน้องฟังเพื่อเป็นวิทยาทาน
บทบาทของศิษย์เก่าและการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
ผศ.กมลศิริ วงศ์หมึก คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และจะมีการปรับรูปแบบการทำงานร่วมกันในอนาคต โดย “คณะศิลปกรรมศาสตร์เดินทางมาเข้าปีที่ 21 เรามีศิษย์เก่าจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมการออกแบบและมีความสามารถจากหลากหลายสาขา คงได้เชิญมาช่วยแชร์ประสบการณ์และช่วยสร้างโอกาสให้นักศึกษามีประสบการณ์จริงตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ” โดยการร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นประโยชน์ต่อทั้งนักศึกษาและแบรนด์กรุยกราย บางกอก
ผศ.กมลศิริ ยังได้กล่าวถึงแนวคิดของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ในการผลักดันให้นักศึกษา "จาก Zero เป็น Hero" ซึ่งพร้อมผลักดันนักศึกษาที่แม้จะเริ่มต้นจากศูนย์หรือมีพื้นฐานที่ไม่เท่ากันแต่มีความชอบและความตั้งใจจริงก็สามารถพัฒนาตนเองจนประสบความสำเร็จได้ โดยมีศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จเป็นต้นแบบ ผ่านการประคับประคองจากอาจารย์ที่ปรึกษา และการเรียนรู้จากรายวิชาในหลักสูตรที่ได้ออกแบบไว้ ผสมผสานกับกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่สร้างโอกาสการปฏิบัติงานจริง การได้รับคำแนะนำจากศิษย์เก่า และ พาร์ทเนอร์เครือข่ายในอุตสาหกรรม
“เรามีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นใจและผลักดันให้นักศึกษาได้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยให้ความสำคัญกับการนำเอาโจทย์จริงมาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อให้นักศึกษาได้ใกล้ชิดกับโลกแห่งความจริงมากขึ้น และส่งเสริมจินตนาการของนักศึกษาไปพร้อมๆ กัน โดยเป้าหมายสูงสุดคือการทำให้นักศึกษาสามารถนำความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างกันของแต่ละคนไปสร้างมูลค่าและขายได้จริง” ผศ.กมลศิริ กล่าว
สำหรับเบื้องหลังการออกแบบ ผศ.ทิพย์ลักษณ์ โกมลวณิช รองคณบดีศิลปกรรมศาสตร์และอาจารย์ผู้สอน อธิบายเสริมถึงที่มาของคอลเลกชันนี้ว่า เกิดจากการที่คณะศิลปกรรมต้องการนำความรู้สู่การปฏิบัติจริง โดยให้นักศึกษาได้ทดลองทำงานจริงเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมและเชิงพาณิชย์ จึงได้เชิญแบรนด์ ‘กรุยกราย บางกอก’ ซึ่งเป็นแบรนด์ของศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จ มาร่วมให้ความรู้และชี้แนะแนวทางในการนำผลงานของนักศึกษาออกสู่สายตาสาธารณะ โดยรายวิชาที่นักศึกษาได้ใช้ความรู้ในการออกแบบคอลเลกชันนี้คือวิชา "การออกแบบตัวอักษรในชีวิตประจำวัน"
ผศ.ทิพย์ลักษณ์ กล่าวเสริมอีกว่า แนวคิดการออกแบบเริ่มจาก การนำเทพเจ้าจีน ‘เสวียนอู่’ ซึ่งมีลักษณะเป็นเต่าที่มีหัวเป็นงูมาเป็นแรงบันดาลใจ โดยเริ่มจากการให้นักศึกษาออกแบบตัวอักษรและต่อยอดไปสู่การออกแบบลวดลายสำหรับเสื้อผ้า ทำให้นักศึกษาได้เห็นว่าตัวอักษรไม่ได้มีอยู่แค่บนแป้นพิมพ์ แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในกระบวนการเรียนการสอน เพื่อช่วยให้นักศึกษาเกิดไอเดียใหม่ๆ อีกด้วย
ขณะที่ นางสาวธนภรณ์ รักพรหม นักศึกษาผู้ออกแบบลวดลาย กล่าวว่า การได้ร่วมงานในโครงการนี้เป็นความท้าทายครั้งสำคัญ เพราะปกติจะวาดภาพคน สไตล์อนิเมะ แต่ครั้งนี้ต้องออกแบบลวดลายที่เป็นสัตว์ ต้องมีการศึกษาเรื่องราวและคาแรคเตอร์ของเต่า โดยมีการนำสีเขียวซึ่งเป็นสีมงคลของจีนมาใช้ เพื่อสื่อถึงความเป็นงูและเต่า
นักศึกษาสาว ยังเล่าถึงขั้นตอนการทำงาน ตั้งแต่การร่างแบบ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ จนถึงการปรับแก้ตามคำแนะนำของทีมกรุยกราย บางกอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตีความ ‘เสวียนอู่’ ที่ต้องมีลักษณะเป็นเต่าที่มีหัวเป็นงูและมีหน้าเป็นคน ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทาย นอกจากนี้เธอยังบอกอีกว่า การได้เห็นผลงานของตนเองถูกนำไปผลิตเป็นสินค้าจริง นับเป็นประสบการณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจและเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับการออกแบบ
“พอได้เรียนกับอาจารย์แล้วก็เจอพี่ๆ เหมือนได้หลุดออกจากกรอบเดิมๆ ในการออกแบบ แล้วก็เห็นภาพรวมครั้งแรกในรอบ 3 ปี ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และสร้างผลงานที่สามารถนำไปสร้างรายได้ได้อีกด้วย” นางสาวธนภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย
การเปิดตัวคอลเลกชัน ‘เสวียนอู่’ ไม่เพียงแต่เป็นการเปิดตัวผลงานแฟชั่นใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นโครงการที่สร้างความร่วมมือที่สำคัญระหว่างศิษย์เก่ากับศิษย์ปัจจุบัน และยังสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาที่กำลังเริ่มต้นอาชีพให้สามารถพัฒนาตัวเองจาก Zero จนกลายเป็น Hero ของวงการแฟชั่นไทยในอนาคต