การใช้สารสกัดหยาบจากเปลือกว่านหางจระเข้เพื่อควบคุม โรคแอนแทรคโนส และโรคขั้วผลเน่าในมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ เขตอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

     ผลการศึกษาการใช้สารสกัดหยาบจากเปลือกว่านหางจระเข้เพื่อควบคุมโรคแอนแทรคโนส และโรคขั้วผลเน่าในมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ เขตอำเภอปราณบุรี โดยทำการสกัดสารจากเปลือกว่านหางจระเข้ด้วยตัวทำละลายเฮกเซน และทำการแยกเชื้อราก่อโรคในมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้จากสวนมะม่วงเขตอำเภอปราณบุรีได้เชื้อราบริสุทธิ์ 3 ชนิด คือเชื้อราก่อโรคแอนแทคโนส Colletotrichum gloeosporioides และเชื้อราก่อโรคขั้วผลเน่า 2ชนิด คือDothiorella dominicana และ Lasiodiplodia theobromae

     ทำการทดสอบประสิทธิภาพสารสกัดหยาบจากเปลือกว่านหางจระเข้บนอาหารเลี้ยงเชื้อ พบว่าสามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อราได้ทั้ง 3 ชนิด โดยความเข้มข้นสารสกัดที่ดีที่สุดในการยับยั้งการเจริญของColletotrichum gloeosporioides คือ 6,000 ppm ยับยั้งได้ 29.83 % และDothiorella dominicana คือ 6,000 ppm ยับยั้งได้ 43.00 % และ Lasiodiplodia theobromaeคือ 8,000 ppm ยับยั้งได้ 89.55 %

     ผลของสารสกัดหยาบจากเปลือกว่านหางจระเข้ในการควบคุมการเกิดโรคแอนแทรคโนส และโรคขั้วผลเน่าบนผลมะม่วงที่ได้รับการปลูกเชื้อ ในสภาพห้องปฏิบัติการ พบว่าสามารถยับยั้งการเจริญของColletotrichum gloeosporioidesได้ 41.71 - 66.87 %  Dothiorella dominicanaได้ 42.20 – 57.05 % และLasiodiplodia thebomaeได้ 41.00 – 54.06 % โดยความเข้มข้นที่ให้ผลการยับยั้งดีที่สุดคือ 6,000, 10,000 และ 10,000 ppmตามลำดับ

     ผลการทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดหยาบจากเปลือกว่านหางจระเข้ที่มีผลต่อคุณภาพของผลมะม่วงในช่วงระยะเวลาการเก็บรักษาหลังการเก็บเกี่ยวโดยวิธีการเคลือบผิวด้วยวิธีจุ่ม (dipping method) โดยมะม่วงชุดที่ 1 เก็บรักษา ที่อุณหภูมิ 13 ̊Cเป็นเวลา 7 วัน หลังจากนั้นปรับอุณหภูมิเป็น  25  ̊C  เป็นเวลา 3 วัน ส่วนมะม่วงชุดที่ 2 เก็บรักษา ที่อุณหภูมิ 25 ̊C เป็นเวลา 7 วัน พบว่ามีการเข้าทำลายของโรคแอนแทรกโนสและโรคขั้วผลเน่าอยู่ในเกณฑ์ระดับคะแนนที่ 1คือเกิดอาการโรค เป็นแผลเล็กขนาดเท่าหัวเข็มหมุดจำนวน2-3 แผลและมองเห็นไม่ชัดเจนเมื่อใช้สารสกัดความเข้มข้น 2,000 ppm และ 3,500 ppm ตามลำดับ

     สารสกัดหยาบจากเปลือกว่านหางจระเข้สามารถควบคุมโรคแอนแทรคโนส และโรคขั้วผลเน่าในระยะหลังการเก็บเกี่ยวบนผลมะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้ เขตอำเภอปราณบุรีในการทดสอบระดับห้องปฏิบัติการได้ และควรมีการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้สารสกัดหยาบจากเปลือกว่านหางจระเข้ทดแทนสารเคมี เพื่อให้ผลผลิตมีคุณภาพดี ลดต้นทุนและรักษาสิ่งแวดล้อม

     This research was studied in Pranburi district, Prachuap Khiri Khan Province. Aloe vera (Aloe babradensis Miller.) rind was extracted by Hexane to control the infection of Anthracnose and stem end rot in mango fruit (Mangiferia indica Linn.) cv. Nam Dok Mai. Mangoes were purified the microorganisms cause the diseases and found 3 types including Colletotrichum gloeosporioides, Dothiorella dominicana and Lasiodiplodia theobromae.

     The extracts were examined an efficacy on culture media and found that all treated microorganisms were suppressed. The best concentration to suppress Colletotrichum gloeosporioides and Dothiorella dominicana were 6000 ppm as the same but can stop growth 29.83% and 43.00%, respectively. Lasiodiplodia theobromae was suppressed 89.55% when using the extract 8000 ppm.

     The results of extract efficacy when testing on Anthracnose and stem end rot mangoes were found that Colletotrichum gloeosporioides, Dothiorella dominicana and Lasiodiplodia thebomae were suppressed about 41.71-66.87%, 42.20-57.05% and 41.00-54.06% for using the best concentration of the extract as 6000, 10,000 and 10,000 ppm, respectively.

     Efficacy of the extract effecting on quality of mango during post-harvest storage was studied by dipping method. This method was divided into 2 sections of mango, the first one was kept at 13 C for 7 days and changed to 25 C for 3 days and the another group was kept at 25 C for 7 days. The results found an invasion of both diseases were in the first level, having pin-sized scars for 2-3 points and unclear without notice for using the concentraton of the extract at 2000 and 3500 ppm, respectively.

     In conclusion, the extract from aloe vera's rind can suppose Anthracnose and stem end rod disease in the level of laboratory use. Therefore, using this extract should be promoted replacing chemical treatments to obtain better quality of products, reduce costs and be as an eco-friendly.

---