การวิเคราะห์งานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมของประเทศไทยในรอบทศวรรษ (พ.ศ. 2543 - 2553)

บทคัดย่อ

การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สำรวจข้อมูลและจำนวนงานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมของประเทศไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2543 – 2553 2) สำรวจและวิเคราะห์งานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมที่มีอยู่ในปัจจุบันกับความสอดคล้องของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ (พ.ศ. 2555 – 2559) และ 3) ประเมินและวิเคราะห์คุณภาพงานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมา

ประชาการที่ใช้ศึกษาในครั้งนี้เป็นรายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการโรงแรม โดยเป็นเอกสารฉบับเต็มที่อยู่ในฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ Thai Digital Collection (ThaiLis) การวิจัยในครั้งนี้สร้างเครื่องมือวิจัยขึ้นมา 2 ชุด เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลตามวัตถุประสงค์การวิจัย ชุดแรกเป็นแบบสำรวจ (survey form) เพื่อใช้เก็บรวบรวมข้อมูลงานวิจัยทั่วไป และเพื่อสำรวจความสอดคล้องของงานวิจัยที่มีอยู่กับแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ส่วนชุดที่ 2 เป็นแบบประเมิน (evaluation form) เพื่อใช้ประเมินคุณภาพงานวิจัย การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสาร จึงใช้สถิติเชิงบรรยาย (descriptive statistics) เช่น การแจกแจงความถี่ และค่าร้อยละ ร่วมกับการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis) เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการวิจัยพบว่างานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีจำนวนทั้งสิ้น 1,635 เรื่อง โดยเป็นวิทยานิพนธ์จำนวน 1,274 เรื่อง (77.9%) และรายงานวิจัยจำนวน 361 เรื่อง (22.1%) หากจำแนกเป็นสาขาวิชา พบว่าเป็นงานวิจัยด้านการโรงแรมมีจำนวน 275 เรื่อง และงานวิจัยด้านการท่องเที่ยวจำนวน 1,360 เรื่อง ในส่วนของงานวิจัยด้านการโรงแรม พบว่าประเด็นที่มีผู้สนใจศึกษามากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ความพึงพอใจ การตลาด การพัฒนาพนักงาน/บุคลากร การบริหารจัดการ และการบริการ ตามลำดับ ในขณะที่งานวิจัยด้านการท่องเที่ยว หากแบ่งเป็นหมวดหมู่ พบว่างานวิจัยที่มุ่งศึกษาในด้านประเภทของการท่องเที่ยวมีจำนวนมากที่สุด (เช่น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ฯลฯ) รองลงมาคืองานวิจัยที่ศึกษาในเรื่องพฤติกรรมและจิตวิทยานักท่องเที่ยว ธุรกิจการท่องเที่ยว และประเด็นอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ชุมชนท้องถิ่นกับการท่องเที่ยว
ส่วนการสำรวจความสอดคล้องระหว่างงานวิจัยที่มีอยู่กับแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พบว่างานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมที่มีอยู่ในปัจจุบันเกือบร้อยละ 74 มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555 – 2559 โดยยุทธศาสตร์ที่มีจำนวนงานวิจัยสอดคล้องมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 3 (การพัฒนาสินค้า บริการ และปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยว) ยุทธศาสตร์ที่ 2 (การพัฒนาและฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน) และยุทธศาสตร์ที่ 5 (การส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยว) ตามลำดับ
สำหรับการประเมินคุณภาพงานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมซึ่งประเมินใน 2 มิติ คือ เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ในส่วนของการประเมินเชิงปริมาณโดยจะประเมินว่าผู้วิจัยมีการนำเสนอเนื้อหา/หัวข้อตามที่ควรจะมีในรายงานการวิจัยหรือไม่ ผลการวิจัยพบว่างานวิจัยส่วนใหญ่ผู้วิจัยมีการนำเสนอเนื้อหา/หัวข้อสำคัญๆตามหลักของการวิจัย ยกเว้นบางหัวข้อที่ส่วนใหญ่ไม่มีการนำเสนอในรายงานการวิจัย เช่น การสรุปวรรณกรรมเพื่อเชื่อมโยงไปสู่เรื่องที่ศึกษา การวิเคราะห์ และการสังเคราะห์วรรณกรรม เป็นต้น ในส่วนของการประเมินเชิงคุณภาพด้านความชัดเจนและความเหมาะสมของสิ่งที่นำเสนอในรายงานวิจัย พบว่างานวิจัยด้านการท่องเที่ยวและการโรงแรมมีความหลากหลายหรือมีความแตกต่างกันในเรื่องของคุณภาพ โดยเนื้อหาของรายงานการวิจัยถูกประเมินทั้งในระดับ ‘ควรปรับปรุง’ ‘พอใช้’ และ‘ดี’ ทั้งนี้ข้อเสนอแนะได้เน้นในเรื่องการส่งเสริมการทำวิจัยในหัวข้ออื่นๆที่สำคัญ ตลอดจนการทำวิจัยเพื่อนำผลไปใช้ประโยชน์ในสังคม รวมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาคุณภาพงานวิจัย

Abstract

The objectives of the research were 1) to survey the status and the number of tourism and hotel studies conduced during 2000 – 2010 2) to survey and analyze the current tourism and hotel studies in accordance with the national tourism development plan (2012 – 2016) and 3) to evaluate and analyze the quality of tourism and hotel studies conducted during the past decade.

This is a documentary research examining the full reports and theses pertaining to tourism and hotel studies. Data collection was made through the electronic data base called Thai Digital Collection (ThaiLis). Two research instruments were created to collect the data for the above objectives. The first one (survey form) was used to collect general information of the tourism and hotel studies as well as the accordance with the tourism development plan of the nation. Meanwhile the second one was employed to evaluate the quality of the tourism and hotel studies. This research used descriptive statistics (frequency and percentage) and content analysis to analyze the data.
The study found that there were a total of 1,635 tourism and hotel studies conducted during the past decade. Among them, there were 1,274 theses (77.9%) and 361 research reports (22.1%). If categorized by the field of subject, there were 275 hotel studies and 1,360 tourism studies. In the hotel subject, the most popular topics were satisfaction, marketing, human resources, management, and services. Meanwhile, in tourism subject, the studies focusing on the type of tourism was the most popular topic (e.g. ecotourism, nature tourism, conservative tourism) followed by the studies examining on tourist behaviors & psychology, tourism businesses, and local community.
In relation to the tourism development plan of the nation, it was found that 74% of the current hotel and tourism studies have an accordance and correspondence with the plan. Most studies fall into strategy 3 (product and service development), strategy 2 (tourism resources development), and strategy 5 (stakeholder participation in tourism).
With regard to research evaluation, there were 2 dimensions (quantitative and quality approaches) of assessing the quality of the research. On the quantitative approach, most studies presented major topics according to the research principles except some topics that most studies did not cover such as literature conclusion connected to the research issues as well as the analysis and synthesis of the literature. On the quality approach, measured by clarity and appropriateness, it’s found that hotel and tourism studies had a variance of quality issue. Some might be qualified as ‘needs improvement’, ‘fair’ or ‘good’. Nevertheless, this study has given the recommendations on the issues of future research direction, research implementation/application, and research quality improvement.