การสื่อสารและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ : กรณีศึกษาถ้ำค้างคาว วัดเขาช่องพราน ต.เตาปูน จ.ราชบุรี
.png)
บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยเรื่อง“การสื่อสารและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ: กรณีศึกษาถ้ำค้างคาว วัดเขาช่องพราน ต.เตาปูน จ.ราชบุรี” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงลักษณะการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศถ้ำค้างคาวในปัจจุบัน วิเคราะห์ถึงกระบวนการการสื่อสารและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการชุมชนแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ตลอดจน นำเสนอแนวทางการพัฒนาการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศภายใต้การมีส่วนร่วมของชุมชนงานวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสำรวจภาคสนาม (Field Survey ) การสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม (Non-Participant Observation) การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) และการสนทนากลุ่ม (Focus Group) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งได้แก่ประชากรในชุมชนเตาปูน 9 หมู่บ้านรวมทั้งสิ้น 45 ราย ช่วงระยะเวลาที่ศึกษาคือเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม 2546จากผลการศึกษาพบว่าการสื่อสารในชุมชนเป็นลักษณะการสื่อสารแบบสองทาง(Two-Way Communication)โดยมีผู้นำในชุมชนได้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและผู้นำตามธรรมชาติได้แก่ เจ้าอาวาส พระ ครูในโรงเรียน เป็นผู้ให้ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ แก่ชาวบ้านในชุมชน อย่างไรก็ตามพบว่าการสื่อสารมีลักษณะแบบแนวดิ่ง (Vertical Communication) คือผู้นำชุมชนหรือผู้มีอำนาจเป็นผู้ดำเนินการสื่อสาร โดยใช้สื่อบุคคล หอกระจายข่าว และสื่อเฉพาะกิจ คือ จดหมาย แผ่นประกาศ และโปสเตอร์ การใช้สื่อบุคคลค่อนข้างมีบทบาทสูงเพราะนอกจากผู้นำชุมชนจะแพร่กระจายข่าวสารจากหน่วยงานรัฐแล้ว วัดเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะแจ้งข่าวสารแก่คนในชุมชนขณะเดียวกันชาวบ้านหรือผู้รับสารมีการสื่อสารในลักษณะแนวนอนด้วย(Horizontal Communication) เพราะทางผู้นำชุมชนและผู้นำตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าอาวาสวัดเขาช่องพรานจะเปิดโอกาสให้ชาวบ้านแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยมี“วัด” เป็นพื้นที่สาธารณะ(Public Space)ในฐานะศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ แทนร้านกาแฟ โดยมีการพบปะของชาวบ้านแบบไม่เป็นทางการทั้งในวันธรรมดาและตามประเพณีมอญ ซึ่งจะมาทำบุญที่วัดทุกวันพระ ชาวบ้านในชุมชนมีการสื่อสารถึงกันเอง อีกทั้งเป็นช่องทางการสื่อสารที่ทางวัดซึ่งเป็นผู้บริหารสถานที่ท่องเที่ยวจะกระจายข่าวสารแก่คนในชุมชน และทำให้เกิดเครือข่ายการสื่อสารระหว่างกันส่วนการสื่อสารกับภายนอกชุมชนนั้นแบ่งเป็นหน่วยงานหลักๆ คือภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้ภาครัฐได้แก่เทศบาลเขาขวาง ตำรวจ สภต.เตาปูน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและสำนักงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำค้างคาว วัดเขาช่องพราน ส่วนภาคเอกชนได้แก่ไกด์นำเที่ยวจากบริษัททัวร์ที่นำนักท่องเที่ยวมาชมค้างคาวบินออกจากถ้ำในช่วงเย็นกลุ่มผู้ค้าด้านการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พบว่าวัดเป็นเจ้าของสถานที่ อำนาจสิทธิ์ขาดต่างๆ ในการบริหารจัดการจึงขึ้นกับเจ้าอาวาสเป็นหลักประกอบกับค้างคาวจำนวนมหาศาลสามารถสร้างรายได้จากมูลค้างคาวถึงปีละหลายสิบล้านบาท จึงทำให้เกิดปัญหาการต่อรองเพื่อช่วงชิงพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นของกลุ่มบุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ แม้ปัจจุบันจะมีการออกโฉนดให้แก่วัดถือกรรมสิทธิ์แล้วก็ยังเกิดปัญหาขัดแย้งในการประสานงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทำให้ไม่สามารถพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งวัดซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่เองจะต้องการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังขาดกำลังคน ขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างแท้จริง จึงดำเนินการการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวถ้ำค้างคาวได้อย่างไม่เต็มที่เท่าที่ควรและขาดทิศทางการพัฒนาในมิติของการอนุรักษ์
ทั้งนี้แนวทางการพัฒนาในพื้นที่ดังกล่าว ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี้ 1)หน่วยงานภาครัฐ ควรให้การสนับสนุนเรื่องการให้ความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศแก่เจ้าของสถานที่ตลอดจนกรรมการวัดและชุมชน 2) เจ้าของสถานที่ควรจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบโดยอาจจัดทำในรูปของ ห้องสมุด ห้องนิทรรศการ ฯลฯเพื่อให้นักท่องเที่ยว นักวิจัย และผู้สนใจเข้าไปชมและค้นคว้าได้ 3)ผู้นำของวัด โรงเรียนและชุมชนควรร่วมมือกันเพื่อปลูกฝังให้เยาวชนมีความรู้และจิตสำนึกในเรื่องแหล่งท่องเที่ยวอันทรงคุณค่าในท้องถิ่นของตน โดยอาจหาเครื่องมือมาช่วยกระตุ้น เช่น การเรียนการสอนในห้องเรียน การจัดกิจกรรมเพื่อความรู้และความเพลิดเพลิน การทำงานประดิษฐ์ตุ๊กตาค้างคาว ฯลฯ
Abstract
The research topic was Communication and Community People’s Participation in Managing Ecotourism Resources ,Case Study; Tam Kang Kao Wat Khao Chong Pran ,Rachaburi Province. The objectives were to study the eco-tourism management at Tam Kang Kao now, to analyze the process of communication and people participation in managing ecotourism resources and to suggest the development of ecotourism management under community participation.
The research used the qualitative research, field survey, the non-participant observation, in-depth interview and focus group for collecting data from the sample groups which were the people in Tao Poon Community about 9 villages and 45 people. The period of the study was between May to October 2003.
The results were that they preferred two-way communication. That is, the Kamnan, the Headman of village, the assistant of the Headman of village and the natural leaders who were the abbot, the monk, the teacher in schools provided the information for the people in community. The communication, however, was vertical communication which the community leaders or the powerful people communicated. The media were the personal media, Broadcast Tower and Taskforce media which were letters, announcements and posters. The personal media took important roles because the leaders of community disseminated the information to government organizations. The temple was a channel to inform the people in community.
Meanwhile, there was horizontal communication. That is, abbot and community leaders opened the room for the people to freely share their opinions. Temple, as the center of opinion exchange, was public space that people made merit and had informal meeting.
The outsiders were the government and private organizations which were local government Kao Kwang, Tao Poon Police station, the Tourism Organisation of Thailand and the Office of Natural Resource: Area forbidding of hunting Tam Kang Kao and the tour guides.
In management, the decision making on ecotourism resources mainly depended on the Abbot, as powerful person. The temple was in charge to organize the income from the bats’ waste matter about more than ten millions baht. It caused the negotiating problems to get the areas from many groups and organizations and was the obstacle to develop the tourism place. The temple lacked of human power, knowledge, understanding about the eco-tourism places for development of Tam Kang Kao and had no direction for conservative development.
For ecotourism resources development, the researchers suggested that 1) the government organizations should provide land lord, temple’s committees and people the information of ecotourism. 2) Land lord should set information system such as a library and an exhibition hall for tourists, researchers and people. 3) The abbot and opinion leaders in schools and community should urge children’s spirit on the value of ecotourism via learning classes, learning activities and hobby.
นักวิจัย : อ.ศรีลัดดา อุทยารัตน์,นางสาววีณา แก้วประดับ
สังกัด : คณะนิเทศศาสตร์
คำสำคัญของโครงการ :
ปีที่เสร็จ : 2555