พฤติกรรมการใช้เวลาว่างของนักศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้เวลาว่างของนักศึกษาโดยรวมและในด้านส่วนตัว ด้านสังคม ด้านการเรียน และด้านการทำงานนอกเวลา (part-time) โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา ประกอบด้วย นักศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ระดับปริญญาตรีทุกคณะวิชาที่เปิดสอน ปีการศึกษา 2551 ได้แก่ คณะบริหารธุรกิจ คณะการบัญชี คณะเศรษฐศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ และคณะศิลปกรรมศาสตร์ โดยแจกแบบสอบถามแก่นักศึกษากลุ่มตัวอย่างด้วยตนเอง แยกตามคณะวิชา จำนวน 864 ฉบับ ได้รับกลับคืนมา จำนวน 864 ฉบับ คิดเป็น 100 % แล้วตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามนำมาวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ


การวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบด้วยค่าสถิติที (t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way Analysis of Variance) โดยการทดสอบด้วยค่าสถิติเอฟ (F-test) และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่โดยการทดสอบด้วยวิธี LSD. (Fisher’s Least – Significant Different) และการหาค่าสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า
1. นักศึกษามหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมการใช้เวลาว่างด้านส่วนตัวมากเป็นลำดับแรก รองลงมาคือพฤติกรรมการใช้เวลาว่างด้านการทำงานนอกเวลา (part-time) ด้านการเรียน และ ด้านสังคม ตามลำดับ และเมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยรายข้อและรายด้าน พบว่า นักศึกษามีพฤติกรรมการใช้เวลาว่างโดยรวมอยู่ที่ระดับปฏิบัติบ้าง
2. นักศึกษาที่มีเพศต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการใช้เวลาว่างด้านสังคมและด้านการเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05

3. นักศึกษาที่เรียนต่างคณะกัน มีผลต่อพฤติกรรมการใช้เวลาว่างด้านส่วนตัว ด้านสังคม ด้านการเรียน และด้านการทำงานนอกเวลา (part-time) แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05
4. นักศึกษาที่ระดับชั้นปีต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการใช้เวลาว่างด้านการเรียนและด้านการทำงานนอกเวลา (part-time) แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
5. นักศึกษาที่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่างกันมีผลต่อพฤติกรรมการใช้เวลาว่างด้านส่วนตัวและด้านการเรียนแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
6. รายได้ของผู้ปกครองที่แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการใช้เวลาว่างด้านสังคมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
7. นักศึกษาที่มีสถานที่พักอาศัยต่างกันมีผลต่อพฤติกรรมการใช้เวลาว่างด้านการเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
8. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้เวลาว่างกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้เวลาว่างด้านส่วนตัว และด้านการเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01

Abstract

The main objective of this research was to study Leisure Time Behavior of the Students in Dhurakij Pundit University in terms of personal, social, learning, and part-time work behaviors.

This research collected the data in academic year 2008 at Dhurakij Pundit University by using questionnaires with the 864 bachelor’s degree students from 9 faculties, namely, Business Administration, Accountancy, Economics, Law, Communication Arts, Arts and Sciences, Engineering, Information Technology, and Fine and Applied Arts. The data were statistically analyzed by using percentage, mean, S.D., t-test, F-test with LSD, and Pearson's Product Moment correlation.
The results revealed that:
1) Personal behavior was the highest time using behaviors among students, followed by part-time work, learning and social behaviors respectively.
2) Difference in sex caused differences in social and learning behaviors at 0.05 statistically significant level.
3) Difference in faculties caused differences in personal, social, learning, and part-time work behaviors at 0.05 statistically significant level.
4) Difference in year of study caused differences in learning and part-time work behaviors at 0.05 statistically significant level.
5) Difference in GPA caused differences in personal and learning behaviors at 0.05 statistically significant level.
6) Difference in parents’ income caused differences in social behaviors at 0.05 statistically significant level.
7) Difference in accommodations caused difference in learning behaviors at 0.05 statistically significant level.
8) Students’ GPA had correlation with personal and learning behaviors at 0.01 statistically significant level.