ความต้องการของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในการเรียนรู้เพิ่มเติมนอกห้องเรียน

การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์ 4 ข้อ คือ (1) เพื่อศึกษาความต้องการของนักศึกษาเกี่ยวกับเป้าหมายในการประกอบอาชีพเมื่อศึกษาจบแล้ว (2) เพื่อศึกษาวิธีการบรรลุเป้าหมายในการเรียน (3) เพื่อศึกษาความต้องการของนักศึกษาเกี่ยวกับการศึกษาวิชากฎหมายเพิ่มเติมนอกห้องเรียน และ (4) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างนักศึกษาที่มีเพศ ชั้นเรียน และ คะแนนเฉลี่ยทางการศึกษา ที่แตกต่างกัน กับเป้าหมายในการประกอบอาชีพเมื่อเรียนจบแล้ว กับวิธีการบรรลุเป้าหมายในการเรียน และ กับความต้องการศึกษาวิชากฎหมายเพิ่มเติมนอกเรียน ประชากรของการวิจัยนี้ ได้แก่นักศึกษา ปีที่ 3 และ ปีที่ 4 คณะนิติศาสตร์ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ปีการศึกษา 2552 ทั้งหมด จำนวน 407 คน ซึ่ง 199 คนได้ตอบแบบสอบถามการวิจัยที่ครอบคลุมวัตถุประสงค์ทั้ง 4 ข้อ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ, ค่าเฉลี่ย ( ), ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.), t- test , F- test และ Scheffe Analysis
ผลการวิจัยพบว่า (1) นักศึกษาต้องการประกอบอาชีพอัยการ และ ผู้พิพากษาในระดับมาก ส่วนอาชีพอื่นๆในระดับปานกลาง (2) นักศึกษาใช้วิธีการบรรลุเป้าหมายในการเรียน 8 ข้อ ในระดับมาก คือ คบหาสมาคมกับนักศึกษาที่สนใจและเอาใจใส่ในการเรียน ตั้งใจฟังคำบรรยายและจดสาระสำคัญไว้ทุกครั้ง ทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างสม่ำเสมอ ทำแบบฝึกหัดที่อาจารย์ให้ทำทุกครั้ง ท่องหลักเกณฑ์สำคัญที่ได้เรียนมาแล้ว เพื่อนที่คบหาสมาคมกันใช้เวลาทบทวนบทเรียนร่วมกัน และ ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมทางกฎหมายอย่างสม่ำเสมอ ส่วนอีก 6 ข้อที่เหลือ ในระดับปานกลาง (3) นักศึกษาต้องการศึกษาวิชากฎหมายเพิ่มเติมนอกห้องเรียนระดับมากที่ 25 หน่วยงาน เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ ศาลอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานศาลยุติธรรม และ ศาลแพ่ง เป็นต้น และต้องการไปศึกษาวิชากฎหมายเพิ่มเติมนอกห้องเรียนในต่างประเทศมากกว่าครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามทั้งหมด และ (4) เมื่อเปรียบเทียบความต้องการประกอบอาชีพ วิธีบรรลุเป้าหมายในการเรียน และความต้องการศึกษาวิชากฎหมายเพิ่มเติมนอกห้องเรียน กับ เพศ ชั้นเรียน และ คะแนนเฉลี่ยทางการศึกษาของนักศึกษา พบว่า มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 หลายข้อ เช่น ข้อที่1 นักศึกษาชายต้องการประกอบอาชีพที่ปรึกษากฎหมายมากกว่านักศึกษาหญิง ส่วนนักศึกษาหญิงต้องการประกอบอาชีพพนักงานบังคับคดี และ พนักงานศาลยุติธรรมมากกว่านักศึกษาชาย ข้อที่ 2 นักศึกษาหญิงใช้วิธีการบรรลุเป้าหมายในการเรียนมากกว่านักศึกษาชาย 3 วิธี คือ ตั้งใจฟังคำบรรยายและจดสาระสำคัญทุกครั้ง คบหาสมาคมกับนักศึกษาที่สนใจและเอาใจใส่ในการเรียน และทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างสม่ำเสมอ ข้อที่ 3 นักศึกษาหญิงต้องการศึกษาวิชากฎหมายเพิ่มเติมนอกห้องเรียนมากกว่านักศึกษาชายมี 6 หน่วยงาน คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการสูงสุด และ กรมคุมประพฤติ ข้อที่ 4 นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ต้องการประกอบอาชีพ อัยการ ทนายความ และนิติกร มากกว่านักศึกษาชั้นปี่ที่ 3 และข้อที่ 5 นักศึกษาที่มีคะแนนเฉลี่ยทางการศึกษาดีมากต้องการศึกษาวิชากฎหมายเพิ่มเติมนอกห้องเรียนที่ศาลจำลองที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นมากกว่านักศึกษาที่มีคะแนนเฉลี่ยทางการศึกษาค่อนข้างดีและค่อนข้างอ่อน

This research is a survey research. Its purposes are four-fold, namely, (1) to study the needs of students in obtaining occupations after graduation, (2) to study the methods of achieving successes in their learning, (3) to study the needs of students concerning their out of classroom additional legal educational activities, and (4) to study and to compare the differences among the students of different sexes, educational classes, and grade point average with their needs of obtaining occupations after graduation, methods of achieving successes in their learning, and their needs of additional legal educational activities out of classrooms. The population of this research consists of 407 third and fourth year students, Pridi Banomyong Faculty of Law, Durakij Pundit University, 199 of whom have responded to the research questionairs which cover the research purposes. The statistical methods employed in analizing the collected data are Percentage, Mean ( ), Standard Deviation (S.D.), t- test, F- test, and Scheffe Analysis.
This research yields the following findings, namely, (1) law students wanted at a much level to become public prosecutors and judges whereas the other 8 occupations they only wanted at a moderate level. (2) Law students employed at a much level 8 items out of 14 items of achieving successes in their learning, namely, associating with students who are interested in and pay much attention to their learning, attentive listening to lectures and making notes of important points every time, always doing the assigned work, doing every time the exercises assigned by the lecturers, reciting the important principle previously learned, associated friends spending time together in reviewing the lessons previously learned, and always searching for more legal knowledge. The other 6 items, however, were employed at a moderate level. (3) Law students wanted at a much level to attend additional law learning activities out of classrooms at 25 organizations, for example, Department of Special Investigation, Criminal Court, Office of the Attorney General, Court of Law Office, and Civil Court. Additionally, more than half of the respondents wanted to attend legal educational activities abroad. (4) The comparison of the students’ needs of occupations, their methods of achieving successes in their learning, and their needs of attending additional legal educational activities out of classrooms with the students’ sexes, educational classes, and grade point average, yielded the following, statistically significant at .05 level, findings, for example, firstly male law students wanting to become legal advisers more than female law students while female law students wanting to become officers of the Legal Execution Department and officers of the Court of Law Office more than male law students; secondly female law students employing the following 3 items of achieving successes in learning more than male law students, namely, attentive listening to the lectures and making notes of important items every time, associating with the students who are interested in and pay much attention to their learning, and always regularly doing the assigned work; thirdly female law students wanting more than male law students to attend additional legal educational activities out of classrooms at the following 6 organizations, namely, the National Police Agency, the Department of Special Investigation, the Forensic Science Office, the Court of Law Office, Office of the Attorney General, and the Probation Department; fourthly the fourth year law students wanting to become public prosecutors, lawyers, and legal officers more than the third year law students; and fifthly law students with grade point average of a very good level wanting more than the law students with grade point average of fair and slightly weak levels to attend additional legal educational activities out of classrooms at the moot court organized by the university.

---