มุมมองของเยาวชนในเขตกรุงเทพมหานครต่อการใช้เวลาว่างในยุควัฒนธรรมทุนนิยม

บทคัดย่อ

การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงมุมมองของเยาวชนที่มีต่อการใช้เวลาว่าง พฤติกรรมการใช้เวลาว่างของเยาวชนในสังคมปัจจุบันที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมทุนนิยม รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้เวลาว่างของเยาวชน พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางการทำให้เยาวชนได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากขึ้น โดยเป็นการศึกษาวิจัยทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพซึ่งได้ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการใช้แบบสอบถาม(Questionnaire) กับกลุ่มตัวอย่างเยาวชนอายุ 16-19 ปี ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตบางกอกน้อย เขตพระนคร เขตบางแค เขตบางเขน เขตหลักสี่ และเขตลาดกระบัง จำนวน 400 คน รวมถึงใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ (Informal interview) กับกลุ่มตัวอย่างเยาวชนอายุ 16-19 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ตัวอย่างนั้นจำนวน 20 คน
ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างเพศหญิงและชายมีจำนวนใกล้เคียงกันคือ ร้อยละ 50.5 และ 49.5 ตามลำดับ โดยส่วนใหญ่มีอายุ 19 ปี มีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีขึ้นไป และส่วนใหญ่ได้รับเงินจากผู้ปกครองอยู่ระหว่าง 3,001 ถึง 5,600 บาทต่อเดือน ในช่วงวันธรรมดาเยาวชนส่วนใหญ่จะมีเวลาว่างอยู่ประมาณ 3-4 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนในช่วงวันหยุดจะมีเวลาว่างมากขึ้นคือ ประมาณ 5-6 ชั่วโมงต่อวัน โดยส่วนใหญ่ทำกิจกรรมยามว่างกับตนเองเป็นอันดับแรก รองลงมาคือ ทำร่วมกับเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวของเยาวชน ตามลำดับ
สำหรับมุมมองและพฤติกรรมการใช้เวลาว่างของเยาวชนพบว่า เยาวชนได้มีการเสนอมุมมองของตนโดยผ่านการถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือในข้อคำถามปลายเปิดของแบบสอบถามและผ่านการเล่าสู่กันฟังจากการที่ได้พูดคุยกับผู้วิจัย ซึ่งทำให้ได้ข้อมูลว่าเยาวชนแต่ละคนมีมุมมองที่ทั้งเหมือนและแตกต่างกัน โดยเยาวชนบางส่วนมีมุมมองในเชิงบวกต่อการใช้เวลาว่าง ไม่ว่าจะเป็นใน
ลักษณะของการมองว่ามีการใช้เวลาว่างไปในทางสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ หรือในการใช้เวลาว่างมีกิจกรรมที่หลากหลาย ในขณะที่เยาวชนบางส่วนก็มองในเชิงลบ เช่น การมองว่ามีการใช้เวลาว่างไปในทางที่ผิด แบ่งเวลาไม่ถูกต้อง ไม่ค่อยมีเวลาว่างในการทำกิจกรรมอื่นๆ ที่มีประโยชน์เนื่องจากกิจกรรมที่ทำในชีวิตประจำวัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเยาวชนที่ได้เสนอถึงมุมมองในลักษณะที่เป็นกลาง หรือสะท้อนทั้งในแง่บวกและแง่ลบให้ได้รับรู้ด้วย
นอกจากนี้เยาวชนได้มีพฤติกรรมการใช้เวลาว่างด้วยการใช้เวลาไปในการทำกิจกรรมช่วงวันธรรมดาและช่วงวันหยุดในลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างกัน กล่าวคือ ในช่วงวันธรรมดา กิจกรรมที่เยาวชนส่วนใหญ่มีความโน้มเอียงในการทำมากคือกิจกรรมด้านสุขภาพและการออกกำลังกายในเรื่องการดูแลร่างกาย รองลงมาคือกิจกรรมด้านการพักผ่อนหย่อนใจและงานอดิเรกด้วยการดูรายการโทรทัศน์หรือวิดีโอ และเล่นอินเตอร์เน็ต และกิจกรรมด้านการศึกษาและสังคมด้วยการทำกิจกรรมพบปะสังสรรค์กับเพื่อน และร่วมงานเทศกาลวันสำคัญ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ วาเลนไทน์ ตามลำดับ ส่วนในช่วงวันหยุด เยาวชนส่วนใหญ่โน้มเอียงในการใช้เวลาไปในการทำกิจกรรมด้านการพักผ่อนหย่อนใจและงานอดิเรกด้วยการทำกิจกรรมดูรายการโทรทัศน์หรือวีดีโอ รองลงมาจึงเป็นกิจกรรมด้านสุขภาพและการออกกำลังกายด้วยการดูแลร่างกาย เช่น ตัดแต่งผม, เล็บ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเยาวชนได้มีการจัดสรรการใช้เวลาว่างในรูปแบบที่ต่างกันไประหว่างช่วงวันธรรมดาและช่วงวันหยุด โดยในแต่ละรูปแบบกิจกรรมที่เยาวชนส่วนใหญ่เลือกทำมากได้สะท้อนถึงพัฒนาการของเยาวชนที่มักเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น
ส่วนปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้เวลาว่างของเยาวชนนั้น เมื่อพิจารณาโดยแยกเป็นรายกิจกรรมในแต่ละมิติ จะพบว่า ตัวแปรคุณลักษณะของเยาวชนและคุณลักษณะของครอบครัวเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติต่อพฤติกรรมการใช้เวลาว่างในบางกิจกรรม ส่วนคุณลักษณะเพื่อนสนิทของเยาวชน พบว่าการที่เยาวชนมีเพื่อนเป็นแบบหรือลักษณะใดนั้น เยาวชนจะมีความเป็นไปได้ที่จะมีพฤติกรรมเป็นไปในแนวเดียวกันหรือสอดคล้องกันกับลักษณะของเพื่อนสนิท
ยิ่งไปกว่านั้น การวิจัยครั้งนี้ยังได้นำเสนอข้อเสนอแนะจากมุมมองของเยาวชนเพื่อเป็นแนวทางสนับสนุนให้เยาวชนได้มีการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มากขึ้นกับบุคคล 4 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มเพื่อนเยาวชนด้วยกัน 2) กลุ่มครอบครัว 3) กลุ่มสถาบันการศึกษา และ 4) กลุ่มภาครัฐ/ภาคเอกชน ด้วย

Abstract

The objective for this research is to know the perspective of youth to spend leisure time, the leisure behavior of youth that is influenced by capitalism culture, the factors affecting to the leisure behavior of youth, including suggestion to spend leisure time. The researcher use both quantitative study and qualitative study by using the questionnaire on examining 400 respondents from 6 district: Bangkoknoi, Phra Nakhon, Bangkhae, Bangkhen, Laksi and Latkrabang and using informal interview method on examining 20 respondents which have 16-19 years old and live in that areas.
The result show that the amount of female and male respondents are not quite different which are 50.5% and 49.5% respectively. The most of youth have 19 years old, education in up bachelor degree. Most of them are receive money from parents with 3,001-5,000 bath/month. In weekdays, they have leisure time about 3-4 hours/day while in weekend, they have more leisure time about 5-6 hours/day. They do leisure activities by mainly themselves, friends and family respectively.
The respondents have a similar and different perspective which is positive, negative and neutrality. Positive perspectives such as spend leisure time on creativity and benefit , spend leisure time on several activities. The example of negative perspectives are the spend leisure time on false direction, incorrect split time and no have leisure while neutral perspectives are positive and negative reflection.

Besides, the respondents have leisure behavior by spend time on different activities in each day. Most of the respondents have high level of spend their leisure time in health-exercise dimensions on weekdays and relaxation-hobby dimensions on weekend.
The factors that are statistically significant affect the leisure time behavior in some activities at 0.05 level of significant are characters of youth and characters of youth’s family. The probability is that leisure time behavior of the respondents corresponds with characters of their friends.
Moreover, This research present the perspective of youth which is guideline to support for the leisure time that the youth should spend. Four person groups: youth, family, educational institution and bureaucracy-private organizations can use the results for improve the benefit of leisure time.