การเปรียบเทียบความรู้และทัศนคติต่อการประกอบอาชีพอิสระของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ระหว่างมหาวิทยาลัยรัฐบาลและเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักที่สำคัญคือ เพื่อเปรียบเทียบความรู้และทัศนคติในการประกอบอาชีพอิสระของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ระหว่างมหาวิทยาลัยรัฐบาลและเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร สำหรับตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยตัวแปรต้น ได้แก่ เพศ สถาบัน สายการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประสบการณ์ที่ได้ช่วยเหลือผู้ปกครองในการประกอบอาชีพ และประสบการณ์ในการทำงานหารายได้พิเศษระหว่างเรียน ตัวแปรตาม ได้แก่ ความรู้และทัศนคติในการประกอบอาชีพอิสระ
ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงบรรยายลักษณะของข้อมูลที่ได้จากการสำรวจโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลเครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามลักษณะถูกผิดและมาตราส่วนประมาณค่า กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา ประกอบด้วยนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2550 ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลและเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 10 สถาบัน แบ่งเป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาล 7 สถาบัน ได้แก่ กลุ่มมหาวิทยาลัยปิด คือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ ประสานมิตร กลุ่มมหาวิทยาลัยเปิด คือ มหาวิทยาลัยรามคำแห่ง กลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กลุ่มมหาวิทยาลัยราชมงคล คือ มหาวิทยาลัยราชมงคลเทคนิคกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยเอกชน 3 สถาบัน คือ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งได้มาด้วยวิธีการจับฉลากและแยกเป็นสายการเรียนบริหารและสายการเรียนมนุษยศาสตร์ โดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามได้ดังนี้ สายการเรียนบริหาร จำนวน 521 คน และสายการเรียนมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ จำนวน 491 คน รวมทั้งสิ้น 1,012 คน การวิเคราะห์ข้อมูลผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่โดยการทดสอบด้วยวิธี LSD. (Fisher’s Least – Significant Different) สำหรับการศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับทัศนคติในการประกอบอาชีพอิสระด้านความคิด ด้านความรู้สึก และด้านพฤติกรรมระหว่างปัจจัยด้านต่าง ๆ โดยใช้วิธีการทดสอบทางสถิติด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า
1. ด้านความรู้ นักศึกษามหาวิทยาลัยรัฐบาลเกือบทุกแห่งมีความรู้เกี่ยวกับการประกอบอาชีพอิสระมากกว่านักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐาน
2. ด้านทัศนคติ นักศึกษามหาวิทยาลัยรัฐบาลเกือบทุกแห่งมีทัศนคติในการประกอบอาชีพอิสระดีกว่าของนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชน ทั้งด้านความคิด ด้านความรู้สึก และด้านพฤติกรรมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐาน
3. ด้านสายการเรียน นักศึกษาที่เรียนสายบริหารและสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มีทัศนคติในการประกอบอาชีพอิสระไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐาน
4. ตัวแปรอื่น ๆ ได้แก่ เพศ สถาบัน สายการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประสบการณ์ที่ได้ช่วยเหลือผู้ปกครองในการประกอบ อาชีพ และประสบการณ์ที่ได้ทำงานหารายได้พิเศษระหว่างเรียนที่แตกต่างกันมีทัศนคติเกี่ยวกับการประกอบอาชีพอิสระของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยของรัฐบาลและเอกชนแตกต่าง พบว่า เพศ สายการเรียน ไม่มีผลต่อทัศนคติในการประกอบอาชีพอิสระของนักศึกษา และไม่เป็นไปตามสมมติฐาน ส่วน สถาบัน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประสบการณ์ที่ได้ช่วยเหลือผู้ปกครองในการประกอบอาชีพ ประสบการณ์ในการทำงานหารายได้พิเศษระหว่างเรียน มีมีผลต่อทัศนคติในการประกอบอาชีพอิสระของนักศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน

 

The main purpose of this research for comparisons of knowledge and attitude and towards independent career for third year undergraduate students between state and private university in Bangkok. For this assumsion of this research upon on; status, institution, major and achievement of study. Beside this the experience of students to help their parents to make career and their make experience on make special salary during at study. The assumsion as knowledge and attitude towards independent career.
This research methodology is a survey research and its struments are true –false questionnaire and rating scales. The samples which is student on the third year academic year 2007 from Private and State university in Bangkok area total 10 universities. Samples are divided State universities the first group is closing university as ; Thammasat University, Kasetsart University, Srinakharinwirote (Prasarnmit) University, the second group is opening university as ; Ramkhamhaeng University, Rajabhat Group ; Chandrakasem Rajabhat University, Suan Dusit Rajabhat University, Rajamangala Group as ; Rajamangala University of Technology Krungthep, and the last one is private university ; Dhurakij Pundit University, University of the Thai Chamber of Commerce, Sripratum University. The methodology by sampling and divided sample in two groups are the students who study on administrative and social humanities. From sample on administrative among 521. And sample on social humanities among 491. From two group total 1,012 person. The analysis of data by checked on statistic which percentage, mean, standard deviation, and One-way ANOVA. These finding indicate factor involve with attitude on independent career in thinking feeling, and behavior between factors by testing in statistic from achievement computer program.
The result of analysis found that the following ;
1. Knowledge part ; The student from almost State Universities they can get the knowledge on independent career more than Private Universities by significance from statistic 0.05 level. By mean that not on hypothesis.
2. Attitude part ; almost State Universities they can get attitude on independent career more than Private Universities involve with thinking, feeling and various behavior by significance from statistic 0.05 level. By mean that not on hypothesis.
3. Major part ; The students who study from Administrative and Humanities and Social Science they have got attitude not difference in independent career. By mean that not on hypothesis.
4. The various factors ; such as status, institution, major, achievement and experience from working job. The career and experience to fine out the special salary during study to difference in attitude on independent career on third year from State and Private University this resulte finding that status and major an not main point in attitude on independent career and not following by hypothesis from institution ,achievement and experience to helping the parent on their career during they study so get on attitude in making on dependent career in significance by statistic 0.05 level. By mean hypothesis.

---