การศึกษาการก่อตัวของชุมชนด้วยหลักพุทธธรรมในเขตกรุงเทพมหานคร

 การวิจัยเรื่อง “การศึกษาการก่อตัวของชุมชนด้วยหลักพุทธธรรมในเขตกรุงเทพมหานคร” มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ (1) เพื่อศึกษาการก่อตัวของชุมชนในเขตกรุงเทพมหานคร (2) เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมที่มีผลต่อการก่อตัวของชุมชนในเขตกรุงเทพมหานคร และ (3) เพื่อเสนอแนะวิธีการนำหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ในชุมชน
งานวิจัยชิ้นนี้ใช้วิธีการศึกษาเชิงคุณภาพ คือ สัมภาษณ์แบบเจาะลึก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาจากภาครัฐ 4 คน ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่อยู่ภายในชุมชน 8 คน นอกจากนี้ยังเพิ่มการศึกษาโดยใช้วิธีแจกแบบสอบถาม ในประชากร 2 เขตพื้นที่ คือ เขตหลักสี่และเขตบางขุนเทียน จำนวน 384 คน
ผลการศึกษา พบว่า การก่อตัวของชุมชนในเขตหลักสี่ มีการรวมตัวกันตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งที่ชัดเจนจากภูมิภาคต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเดิมเป็นเขตบางเขน และถูกแยกตัวตามการปกครองของกรุงเทพมหานครมาเป็นเขตหลักสี่ในปีพ.ศ.2540 อาชีพหลักของประชากรคือ ทำการเกษตร ทำนา ทำสวน และทำไร่ มีเส้นทางการดำเนินชีวิตคือ คลองเปรมประชากร และเขตบางขุนเทียนมีการรวมตัวตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งโดยข้อสันนิษฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 มีพื้นที่ที่ติดกับชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ลักษณะอาชีพคือ ทำการเกษตร ทำสวน ทำนา ทำไร่ และ การประมงชายฝั่งทะเล
นอกจากนี้เพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์อีก 2 ข้อ จึงได้ตั้งสมมติฐาน จำนวน 4 ข้อ คือ (1) ลักษณะทั่วไปของคนในชุมชนที่แตกต่างกันจะมีการนำหลักพุทธธรรมมาใช้ในชุมชนและชีวิตประจำวันแตกต่างกัน (2) ลักษณะทั่วไปของคนในชุมชนที่แตกต่างกันจะมีระดับความเกี่ยวข้องกับหลักการก่อตั้งชุมชนแตกต่างกัน (3) หลักพุทธธรรมมีผลต่อการก่อตัวของชุมชน และ (4) การประยุกต์หลักพุทธธรรมน่าจะมีผลต่อการใช้ในชีวิตประจำวันของคนในชุมชน   พบว่า ประชากรส่วนใหญ่มีการนำหลักพุทธธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันแตกต่างกัน มีความเกี่ยวข้องกับหลักการก่อตั้งชุมชนแตกต่างกัน โดยที่หลักพุทธธรรมมีผลต่อการก่อตัวของ ชุมชน และมีการประยุกต์หลักพุทธธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวันของคนในชุมชน ทั้งนี้เนื่องจากใน 2 เขตพื้นที่มีลักษณะที่แตกต่างกันทางด้านภูมิศาสตร์ แต่ทั้งนี้ ทุกกลุ่มมีการปฏิบัติตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วยหลัก เบญจศีล สังคหวัตถุ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์และฆราวาสธรรมมาใช้เพื่อประโยชน์ในครอบครัวและชุมชนตามลักษณะของอาชีพ และมีการดูแลตนเองมากกว่ารอคอยให้รัฐเข้ามาจัดการ

The objective of the research entitled “The study of the Formation of Community with Buddhadhamma Principles in Bangkok ” is to study the formation of the community in Bangkok and the Buddhadhamma principles that are used in the community and is to suggest some principles for the community
The method for doing this research is qualitative method. The data used in this study are the information collected by interviewing 4 government officers from the development section and 8 reprentatives from the community and by giving questionnaire to 384 people in Laksi District and Bangkhuthhien District in Bangkok.
The findings are found that the formation of community in Laksi district has been made since the reign of King Rama V by people from different regions in Thailand. Bangkhen district office was divided into two districts : Bangkhen district and Laksi district according to the administration of methropolis Bangkok in 2001. The occupations of these people are farmers. The area for their work is khlong Premprachakon. The formation of community in Bangkhunthien district has been made since the reign of King Rama . The area of this district is adjacent to the coast of the Gulf of Thailand. Most people are farmers.
Moreover, in order to respond to 2 objectives, the researcher has the following 4 assumptions :
1. The people with different characteristics will use the different Buddhadhamama principles for their daily lives.
2. The people with different characteristics will have the difference of the formation of community.
3. The Buddgadhamma principles have influence on the formation of community.
4. The practice of Buddhadhamma principles have affected their lives.
The findings are also found that the people choose different Buddadhamma principles to practice in their daily lives. They have different formation of community. The Buddhadhamma principles have influence on their lives. Though they live in different geographical area, They practice the teaching of the Buddha : the five Precepts, bases of social solidarity, virtues conducive to benefits in the present, and virtues for a good household life to develop their families and communities and also to improve their self- development of their work rather than waiting for the government help.

---