อิทธิพลพาดหัวข่าวการเมืองหนังสือพิมพ์ต่อเสถียรภาพรัฐบาล

การวิจัยเรื่องอิทธิพลพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ต่อเสถียรภาพรัฐบาล เป็นการวิจัยเชิง
สหวิทยาการผสมผสานรูปแบบการวิจัยทั้งเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยดังนี้

1.เพื่อศึกษาหลักการคัดเลือกประเด็นและการพาดหัวข่าวการเมืองของหนังสือพิมพ์
2.เพื่อศึกษาบทบาทหน้าที่ของพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ ต่อการสร้างกระแสความ
นิยมของประชาชนต่อนักการเมือง
3.เพื่อศึกษาผลกระทบของรัฐบาลจากพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์
4.เพื่อศึกษาทรรศนะของผู้บริหารประเทศ ที่มีต่อการพาดหัวข่าวการเมือง
5.เพื่อศึกษาทรรศนะของผู้บริหารประเทศ ที่มีต่อบทบาทหน้าที่ของนักหนังสือพิมพ์

การวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม โดยการสุ่มตัวอย่างแบบกำหนดจำนวน (Quota Sampling) โดยจำแนกจำนวนตัวอย่างตามอาชีพ 10 อาชีพคือนักวิชาการ, ข้าราชการ, แพทย์, นักธุรกิจ, พนักงานรัฐวิสาหกิจ, พนักงานบริษัทเอกชน, เจ้าของกิจการ บริษัทและห้างร้านพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่, นักศึกษาและผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งสิ้น 400 คน โดยให้มีการกระจายของเพศและอาชีพเท่ากัน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย Frequency S.D. One-way Anova LSD. โดยผลการวิจัยมีดังนี้
จากการเก็บกลุ่มตัวอย่าง 400 ตัวอย่าง 10 อาชีพ เกี่ยวกับ ความคิดเห็นต่อการรายงานข่าวการเมือง ในช่วงปลายรัฐบาลที่มีผลต่อเสถียรภาพรัฐบาล พบว่าการรายงานข่าวการเมืองมีอิทธิพลต่อเสถียรภาพรัฐบาลอยู่ในระดับปานกลาง ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ การรายงานข่าวการเมือง เป็นตัวเร่งให้รัฐบาลไปก่อนเวลาอันควร ข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ บางครั้งเป็น
เรื่องส่วนตัวมากเกินไป และเกี่ยวกับ ความคิดเห็นต่อพาดหัวข่าวการเมือง ในช่วงปลายรัฐบาลที่มีอิทธิพลต่อเสถียรภาพรัฐบาล พบว่าการพาดหัวข่าวการเมืองมีอิทธิพลต่อเสถียรภาพรัฐบาลอยู่ในระดับปานกลาง ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือพาดหัวข่าวมีความน่าเชื่อถือ ข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ ใส่ความคิดเห็นลงไปในพาดหัวข่าว

จากการวิเคราะห์ความแปรปรวนจำแนกตามอาชีพพบว่า ผู้ที่มีอาชีพต่างกัน มีความคิดเห็นกับการรายงานข่าวการเมืองและพาดหัวข่าวการเมือง ในช่วงปลายรัฐบาลแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และจากการทดสอบความแตกต่าง ระหว่างค่าเฉลี่ยของความคิดเห็นการรายงานข่าวการเมือง จำแนกตามอาชีพ พบว่านักวิชาการมีความคิดเห็นต่อการรายงานข่าวการเมืองมากกว่าข้าราชการ แพทย์ ผู้บริหาร พนักงานบริษัทเอกชน พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ และผู้ใช้แรงงานขั้นต่ำอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ข้าราชการมีความคิดเห็นน้อยกว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าของกิจการ และนักศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แพทย์มีความคิดเห็นน้อยกว่าพนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าของกิจการ พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ และนักศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

ในการวิจัย ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานดังต่อไปนี้
1.บทบาทของพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ (วิชาชีพ) แตกต่างจากศาสตร์ทางด้าน
วารสารศาสตร์ว่าด้วยหลักการเขียนพาดหัวข่าวและบทบาทหน้าที่ของพาดหัวข่าว
(วิชาการ)
2.พาดหัวข่าวการเมืองของหนังสือพิมพ์ มีอิทธิพลต่อกระแสความนิยมของประชา
ชนที่มีต่อรัฐบาล
3.พาดหัวข่าวการเมืองของหนังสือพิมพ์ เป็นหนึ่งในปัจจัยตัวเร่งให้รัฐบาลไปก่อน
วาระ 4 ปี

สมมติฐานมีคำตอบดังต่อไปนี้

1.คนข่าว (บรรณาธิการข่าว) ยืนยันว่า บทบาทของพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ตามหลักวิชาชีพไม่ได้แตกต่างจากหลักวิชาการว่าด้วยหลักการเขียนพาดหัวข่าวและบทบาทหน้าที่ของพาดหัวข่าวที่ว่า พาดหัวข่าวหมายถึง ประโยค วลี หรือข้อความสั้นๆที่เป็นสาระสำคัญในเนื้อข่าว มีหน้าที่สรุปประเด็นสำคัญของข่าวและดึงดูดความสนใจของผู้อ่านให้อ่านเนื้อข่าว พร้อมปฎิเสธข้อกล่าวหาจากนักการเมืองที่ว่าพาดหัวข่าวไม่ตรงกับเนื้อข่าว เพราะทุกพาดหัวข่าวล้วนมีที่มาจากเนื้อข่าว มีเพียงหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและไทยโพสต์ที่มีหลักการพาดหัวข่าวเสริมออกมาจากทฤษฎีพาดหัวข่าว โดยผู้จัดการมีหลักว่าพาดหัวข่าว บางครั้งต้องมีความเห็นเจือปนอยู่บ้าง เพียงแต่ประสบการณ์และความคิดเห็นที่มีอยู่ จะทำอย่างไรเป็นกลางที่สุด ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัว หรือไปโยงกับประโยชน์ส่วนตัว และสะท้อนข้อเท็จจริงไปถึงผลประโยชน์คนอ่าน ขณะที่ไทยโพสต์มองว่า การใส่ความรู้สึกลงไปในพาดหัวข่าวไม่เป็นสิ่งที่ผิดเพราะตัวเนื้อข่าวไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่ได้ใส่สี แต่แสดงจุดยืนที่ค่อนข้างชัดเจนในการทำหน้าที่วิจารณ์ไปด้วย เสนอข่าวไปด้วย ซึ่งพาดหัวข่าวนั้นสอดคล้องกับกระแส และสอดคล้องกับความรู้สึกของประชาชน

2.นักการเมืองที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบทางตรง จากพาดหัวข่าวการเมืองหนังสือพิมพ์ ต่างสรุปว่า พาดหัวข่าวการเมืองของหนังสือพิมพ์ มีอิทธิพลต่อกระแสความนิยมของประชาชน ที่มีต่อรัฐบาล การปรับท่าทีของรัฐบาล ไม่ว่าจะเรื่องนโยบาย หรือปรับคณะรัฐมนตรีใช้กระแสของพาดหัวข่าวการเมืองหนังสือพิมพ์เป็นหนึ่งปัจจัย ในการตัดสินใจเพราะพาดหัวข่าวเป็นตัววัดกระแสความนิยมของประชาชนต่อรัฐบาล ณ ห้วงเวลานั้น ขณะเดียวกันนักการเมืองต่างมองว่า พาดหัวข่าวการเมืองหนังสือพิมพ์เป็นตัวสร้างภาพลักษณ์ทั้งเชิงบวก และลบติดตัวนักการเมือง ทำให้มีผลต่อทัศนคติของประชาชน จากคำพาดหัวข่าวเช่น “ชวนเชื่องช้า” “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” “หลงจู๊ล้วงลูก” “รมต.ป่าลั่น” “เทพเทือก” “ปชป.ทำงานด้วยปาก” “ห้อยยี้” “พรบ.ขายชาติ” “รบ.เอื้ออาทร”

อย่างที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ หัวหน้าพรรคมหาชน อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์สรุปว่าภาพลักษณ์ที่ติดตัวพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ เกิดมาจากการสะสมกระแสในอดีตจากการพาดหัวข่าวของสื่อหนังสือพิมพ์ ประชาชนก็เกิดความเบื่อหน่าย ว่าพรรคประชาธิปัตย์ เชื่องช้า ยึดกฎระเบียบ และดั่งคำที่นายเนวิน ชิดชอบ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยมองว่าภาพลักษณ์ที่ติดตัวนายเนวินเกิดจากการพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบันแม้ว่า จะทำงานดีอย่างไร ประชาชนยังติดกับภาพลักษณ์ที่หนังสือพิมพ์สร้างให้มีผลต่อตำแหน่งที่จะได้รับในคณะรัฐมนตรี ขณะที่นายพรเทพ เทพกาญจนาถึงกับฟันธงว่า หนังสือพิมพ์สามารถทำให้คนไม่ดีเป็นอรหันต์ ขณะเดียวกันสามารถทำให้คนดีเป็นมาร ในความรู้สึกของประชาชน

3. จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า พาดหัวข่าวมีอิทธิพลต่อเสถียรภาพรัฐบาลทั้งเชิงลบและบวก โดยในอดีตสมัยรัฐบาลชวน1 รัฐบาลบรรหาร รัฐบาลชวลิตและรัฐบาลชวน 2 การพาดหัวข่าวในช่วง 3เดือนสุดท้าย จะเป็นพาดหัวข่าวที่มีอิทธิพลต่อเสถียรภาพรัฐบาลเชิงลบ นำไปสู่หนึ่งในปัจจัยให้ผู้นำรัฐบาล ตัดสินใจไปก่อนวาระตามมาตรา 7 คณะรัฐมนตรีของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และ 2534 ไม่ว่าจะไปด้วยการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร หรือนายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง
รัฐบาลชวน1 เกิดวาทกรรม“สปก.4-01”จากการพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ โดยแกนนำรัฐบาลที่อยู่ในรัฐบาลชวน1 ยอมรับว่า นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรเพราะการพาดหัวข่าวติดต่อกัน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ไทยรัฐพาดหัวข่าวเรื่องนี้เป็นเวลา 7 เดือน ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาลต่อการบริหารประเทศ และการตัดสินใจถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลของพรรคพลังธรรมเกิดจากอิทธิพลพาดหัวข่าวเรื่อง สปก.4-01

รัฐบาลบรรหาร เกิดวาทกรรม “หลงจู๊ล้วงลูก” จากพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ โดยแกนนำรัฐบาลที่อยู่ในรัฐบาลบรรหารยอมรับว่าประชาขนขาดความเชื่อมั่นรัฐบาลบรรหารตั้งแต่ก่อตั้งรัฐบาล การพาดหัวทำให้ประชาชนค่อยๆ ซึมในความรู้สึก ทั้งๆ ที่รัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไร และไม่ปรากฏข้อผิดพลาดในการบริหารงาน ท้ายสุดนายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีตัดสินใจประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรนายเนวิน ชิดชอบ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยกล่าวว่า สมัยรัฐบาลบรรหารไปเพราะแรงกดดันของสังคม การกัดเซาะ การสร้างความเชื่อถือของสังคมต่อรัฐบาลบรรหาร เป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรม ไม่โปร่งใส โดยภาพลักษณ์ที่แต่ละคนถูกสร้างมา ในคณะรัฐมนตรี นำไปสู่ความไม่มั่นคง ของเสถียรภาพรัฐบาล

รัฐบาลชวลิต เกิดวาทกรรม“ม็อบมือถือ” จากการพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ โดยแกนนำรัฐบาลที่อยู่ในรัฐบาลชวลิตยอมรับว่าประชาชนขาดความเชื่อมั่นรัฐบาลชวลิตตั้งแต่ประกาศค่าเงินบาทลอยตัว จนกระทั่งเกิดการชุมนุมประท้วงขับไล่ พล.อ.ชวลิตของชนชั้นกลาง ที่สีลมใจกลางเมืองย่านธุรกิจของประเทศ โดยสะท้อนปัญหาส่วนหนึ่งจากพาดหัวข่าว และประเมินสถานการณ์ต่ำ ท้ายสุดพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

รัฐบาลชวน2 เกิดวาทกรรม“พ.ร.บ.ขายชาติ” จากการพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ โดยแกนนำรัฐบาลที่อยู่ในรัฐบาลชวน 2 ยอมรับว่าไม่ได้รับเลือกกลับเข้ามาอีก เพราะพาดหัวข่าวตลอด3 ปีที่ซึมลึกในความรู้สึกของคนไทย จากการพาดหัวข่าวในการดำเนินการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตามในยุครัฐบาลทักษิณ 1 กลับพบว่าพาดหัวข่าวการเมืองหนังสือพิมพ์ตลอด 4 ปี โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายที่มักนำเสนอในเชิงลบกลับกลายเป็นนำเสนอในเชิงบวก เกิดวาทกรรมเชิงบวก “เอื้ออาทร” จากการพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ โดยแกนนำรัฐบาลที่อยู่ในรัฐบาลทักษิณ 1 ยอมรับว่าไทยรักไทยได้รับเลือกกลับมาเป็นรัฐบาลทักษิณ 2 เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 ด้วยคะแนนเสียงท้วมท้น ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ปัจจัยหนึ่งเกิดจากอิทธิพลพาดหัวข่าวการเมืองหนังสือพิมพ์ตลอด 4 ปีที่เป็นไปในเชิงบวกมากกว่าลบ

ในขณะที่นักการเมืองฝ่ายค้านสรุปว่ากรอบการพาดหัวข่าวการเมืองของหนังสือพิมพ์เปลี่ยนไปเพราะเกิดจากการสร้างวาระข่าวสารโดยรัฐบาลทักษิณ 1 เช่น รายการนายกฯทักษิณพบประชาชนทุกเช้าวันเสาร์ หวยหุ้นหงส์ พับนก ทัวร์นกขมิ้น หวยบนดิน การดิสเครดิตฝ่ายค้านจนเกิดวาทกรรม “ใช้ปากทำงาน” และดิสเครดิตนักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล จนเกิดวาทกรรม “ขาประจำ” เป็นต้น ยังไม่นับรวมการแทรกแซงสื่อ ทั้งรูปแบบการตรวจสอบภาษี การซื้อสื่อโฆษณา และการฟ้องร้องดำเนินคดีและเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับหนังสือพิมพ์

ข้อเสนอแนะ
1. ควรมีองค์กรกลางที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของสื่อ น.ส.พ. เพื่อไม่สร้างอิทธิพล
ในทางที่ผิดต่อสังคมไม่ว่าเชิงบวกหรือลบ
2. คนทำข่าวควรปรับกลยุทธ์การทำข่าวเชิงรุกมากกว่าการทำตามกระแสของสังคม โดยเฉพาะประเด็นที่รัฐบาลเซตขึ้นมา มิเช่นนั้นสื่อไม่ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างแท้จริง
3. การศึกษาครั้งนี้ เน้นศึกษาในกรอบของคนทำสื่อและคนต้นเรื่องเป็นหลัก ในขณะที่ศึกษากรอบของคนอ่าน น.ส.พ. ในเชิงกว้างยังไม่ได้ลงลึก ดังนั้นควรที่จะมีการศึกษาในกรอบของคนอ่าน น.ส.พ. ในเชิงลึกมากขึ้นเพื่อนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบว่า มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันลึกซึ้งหรือไม่อย่างไร

This research on the topic, “The Influences of Newspaper’s political Headlines on the Government’s Stability” implements the interdisciplinary method that incorporates quantitative and qualitative approaches to achieve the following objectives:

1. To study newspapers’ principles of news topic selection and political headlining;
2. To explore the roles and functions of newspaper headlines in stimulating public attitudes toward politicians;
3. To examine the impacts of newspaper headlines on governments;
4. To study political leaders’ views on the headlining of political news; and
5. To study political leaders’ views on the roles and responsibilities of the press.

The quantitative research gathers data from quota sampling questionnaires distributed to 400 samples in total from 10 different professions: (1) academics, (2) public servants, (3) physicians, (4) businessmen, (5) state enterprise employees, (6) private company employees, (7) entrepreneurs, (8) commercial establishments and street venders, (9) college students and (10) laborers. The questionnaires are distributed in equal proportion among different genders and professions. The data analysis is based on percentage, mean, frequency, Standard Deviation (SD), One-Way Analysis of Variation (ANOVA) and LSD. The results are as follows:

On the issue of the influences of political news reporting on the government’s stability toward the end of term, the sample findings show moderate results with the highest mean in the question of the influence of political news reporting in accelerating premature administrative dissolution and the lowest mean in the question of personal issue involvement. Likewise, the influences of political headlines toward the end of government term are moderate with the highest mean in the question of headline credibility and the lowest mean in the question of personal view insertion into headlines.

The profession-based analysis of variation reveals significant difference in the opinions on political news reporting and headlines toward the end of government term. In addition, the calculation of difference between the means classified by professions shows that the academic group has more opinions on political news reporting than the public servants, physicians, executive officers, private company employees, street venders and laborers, which is translated into a statistically significant differential of 0.01; the public servants have less opinions than state enterprise employees, entrepreneurs and college students with a statistically significant differential of 0.01; the physicians have less opinions than state enterprise employees, entrepreneurs, street venders and college students, accounting for a statistically significant differential of 0.01.

The research hypotheses are as follows:
1. The roles of newspaper headlines (professional viewpoints) are different from those in the Mass Communications principles of news headlines (academic viewpoint);
2. Political headlines have influences on the public attitudes toward governments; and
3. Political headlines can accelerate dissolution of governments before the expiration of the four-year term.

The testing of the aforementioned hypotheses yields the following results:
1. News professionals (news editors) insist that the roles of newspaper headlines according to the profession’s standards contradict neither the academic principles of headline writing nor the roles and functions of headlines in that a headline – as a sentence, a phrase or a short message – conveys and summarizes the core news message in such a way that captures the reader’s attention to the news itself. The news professionals dismiss politicians’ accusation that headlines are unrelated to the news, claiming that every headline is derived from news contents and that only Manager and Thai Post newspapers exercise untraditional approaches of headlining. To specify, Manager allows occasional insertion of personal opinions as long as such opinions are presented in the most possible neutral light and no personal interest involved, only a reflection of facts for the reader’s interest. To a greater extreme, Thai Post expresses that the insertion of personal views into headlines is not wrong because the news content itself is free from personal views or exaggeration. Headline writing is a matter of clearly expressing the publication’s standpoint and its role as a news critic and reporter. The publication, moreover, claims that their headlines mirror the societal trends and public sentiments.

2. Politicians who are affected directly by political headlines view that political headlines can determine government popularity and that governments take into account the directions of political headlines when making decisions concerning policy adjustments or cabinet reshuffles. This is because headlines are an indicator of government popularity in the public’s eye at that particular time. On the same token, politicians consider political headlines as a creator of both positive and negative images of politicians and consequently influence the public attitudes toward politicians, as seen in such headlines as “Chuen Shueang Sha” (Sluggish Chuen), “Chiew Kwan Chiep” (Ultra Sweet Chiew), “Hlong Chu Luang Luk” (Nosy, Bossy Mastermind), “Ror Mor Tor Pa Lan” (Scandalous Agricultural Minister), “Thep Tiuew” (The Mountainous Guy), “Por Chor Por Tam Ngan Duai Pak” (Lip Service Democrat Party), “Khoy Yee” (Disgustingly Dangling (Lips)), “Por Ror Bor Khai Chart” (Traitor Act) and “Ror Bor Uea Aar Thon” (Solicitous Government). Major General Sanan Kachonprasart, Mahachon Party leader and former secretariat of the Democrat Party, commented that such negative images permanently attached to the Democrat Party are the results of the accumulation of headline-stimulated trends that made the public grow weary of the Democrat Party and their images of sluggish, stiff followers of rules. A case in point: Navin Chidchob, deputy leader of the Thai Rak Thai Party, views that the image attached to him has been created by news headlines from years past to the present. As it is, no matter how well he works, the public still attaches him to the unattractive images imposed by newspapers, which consequently affected his positions in the cabinet. On the same token, Pornthep Thepkanchana makes a bold statement that newspapers can turn a bad person into a saint and a good person into a devil in the public’s mind.

3. The data analysis reveals that headlines have influences on government stability, as seen in the cases of the Chuen1 administration, the Banhan administration, the Chawalit administration and the Chuen2 administration. During the last three months toward the end of term of the above administrations, news headlines had negative impacts on the governmental stability. Headlines became a decisive factor on which the government leaders based their decisions for prematurely ending the government term under Section 7 of the Constitution of the Kingdom of Thailand of 1997 and 1991 either by dissolving the House of Representatives or resignations of prime ministers.

During the first term of Prime Minister Chuen Leekpai administration, newspaper headlines gave rise to the catch phrase, “Sor Por Kor 4-01” (Land Reform Policy). Key figures in the Chuen 1 government admitted that Prime Minister Chuen decided to dissolve the House of Representatives because of the constant reappearance of the issue on news headlines. Thai Rath particularly played the topic on its headlines continuously for seven months. The public in time lost confidence in the government’s ability to run the country. Palang Dharma Party’s decision to withdraw from the multi-party government was also influenced by such headlines.

During the Banharn Silapaarcha administration, news headlines made “Hlong Chu Luang Luk” (Nosy, Bossy Mastermind) a common phrase. Again, key figures in the Banharn government admitted that the public lost confidence in the administration from day one and commented that such headlines gradually grew on the public’s mind even though the government was just formed and had not made any mistakes at the time. In the end, Prime Minister Banharn decided to dissolve the House of Representatives. Nawin Chidshop, deputy leader of Thai Rak Thai party, commented that public pressure and the weakening of societal trust had driven the Banharn administration to failure as it was projected as an unfair and obscure government. Each and every negative image imposed on the cabinet members drove the government into a state of instability.

During the Chawalit Yongchaiyuth administration, “Mob Mue Tue” (Mobile Mob) headlines became a popular phrase. Key figures in this administration believed that the public confidence disappeared with the announcement of the baht floatation, which ignited demonstrations to evict Prime Minister General Chawalit by middle-class people on Silom Road at the very center of the country’s business districts. They also viewed that news headlines and the administration’s underestimation of the situations stirred negative impacts on the administration and eventually pressured Prime Minister General Chawalit to step down.

In the second term of the Chuen administration, the catch phrase, “Por Ror Bor Kai Chart” (Traitor Act) emerged from news headlines. Key figures in the Chuen2 administration claimed that since then they failed to win votes because such negative headlines were constantly painted onto the public sentiment for a whole three years of the Chuen2 government in the attempt to solve economic problems.

On the contrary, headliners during the first term of the Thaksin administration were a different story. The four years of running the country, especially the last three months before the term expiration – traditionally, a busy time for negative messages against running governments – saw the popular rise of the “Uea Ar Thorn” (Solicitude) tagline. Key figures in the Thaksin administration assumed that one of the reasons why Thai Rak Thai Party had won a landslide election that made possible the formation of the one-party Thaksin2 government on February 2, 2006 was that political news during the four years of the Thaksin1 administration were headlined with more positive than negative messages.

From the perspective of the opposition party politicians, the trends of political news headlining were influenced by the publicity agenda created by the Thaksin1 administration. For example, the Prime Minister Thaksin Meets the People radio show on Saturdays, Liverpool Lottery, Orikami Propaganda, Mobile Cabinet, Legitimized Underground Lottery, Lip Service Opposition Parties, and the Regulars (a nickname for academics who disagreed with the government), etc. Moreover, there were media interferences in the forms of tax audits, purchasing of advertising space, civil lawsuits and damage claims against newspapers.

Suggestions:
1. An impartial entity should be formed to monitor practices of the press to prevent both positive and negative influences on the society;
2. The press should implement proactive strategies in exploring news stories instead of following the popular trends, especially those invented by governments; otherwise, journalists would not be able to truly monitor and examine the government’s performance; and

An in-depth research in the newspaper reader’s perspective should be conducted the findings of which could be used in a comparative study with this press-oriented research paper to examine whether and how closely the two different approaches are related.

---