‘สุขภาพและความงาม’ ศาสตร์แห่งอนาคต พร้อมนำไทยเป็น Wellness Hub ระดับโลก
ว่าด้วยเรื่องสุขภาพและความงาม ประเทศไทยเป็นผู้นำตลาดและเป็นผู้เล่นรายสำคัญของอาเซียน โดย Grand View Research ประเมินมูลค่าตลาดเสริมความงามทั่วโลก คาดว่า ในปี 2570 มูลค่าตลาดจะขึ้นไปแตะระดับ 2.16 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.14 ล้านล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 13.9% หรือคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 2.5 เท่า ขณะที่ตลาดเสริมความงามในไทยจะแตะระดับ 7.51 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.48 แสนล้านบาท โตเฉลี่ยปีละ 16.6% หรือ คาดว่าจะเพิ่มจากปี 2563 เกือบ 3 เท่า
หลายฝ่ายเชื่อกันว่า เรื่องสุขภาพและความงามเป็นจุดขายสำคัญของเวลเนสไทยที่ประสานลงตัวทั้งฝีมือแพทย์ คุณภาพสถานบริการ และ ยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) อีกทั้งประเทศไทยยังมีความพร้อมในเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่จับกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในสภาพร่างกายดี ไม่ได้เจ็บป่วย แต่ต้องการได้รับสภาวะทางสุขภาพที่ดีขึ้นทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ตามที่สมาคมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทย (TMWTA) ได้ให้นิยามเอาไว้ ทั้งหมดนี้จึงผลักดันให้ “ศาสตร์ด้านความงามและสุขภาพ” เป็นหนึ่งในศาสตร์ที่มีความต้องการบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่อเติมเต็มเข้าสู่ธุรกิจมากที่สุด
คำถามที่น่าสนใจก็คือ “จะทำอย่างไรให้เรามีบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านนี้?” และ “ที่ไหนที่มีการเรียนการสอนในด้านนี้บ้าง?”
14 ปี ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) คือ “คำตอบ”
“เพราะสถาบันเราเป็นที่แรกที่เปิดสอนเรื่อง บูรณาการสุขภาพและความงาม โดยช่วงก่อนปี 2551 ประเทศไทยไม่มีสถาบันการศึกษาไหนเปิดหลักสูตรในศาสตร์แขนงนี้โดยตรง ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนบุคลากรที่เกี่ยวข้องตามมา หากตัวสถานประกอบการ สปา คลินิก โรงพยาบาล จะเทรนบุคลากรขึ้นมาเองก็ไม่ทัน เนื่องจากขาดเวลาในการสอนอย่างเป็นระบบ ขาดหลักสูตร และองค์ความรู้ที่ยังไม่ครอบคลุมและเพียงพอ” อาจารย์สุจารีย์ หิรัญศิริวัฒน์ หัวหน้าหลักสูตรบูรณาการสุขภาพและความงาม วิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ (CIM) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) เริ่มต้นกล่าวย้อนเวลาไป 10 กว่าปีก่อน ในยุคที่ผู้คนเริ่มให้ความสนใจบริการด้านสุขภาพความงาม
เมื่อถามว่าที่หลักสูตรบูรณาการสุขภาพและความงามนั้นเรียนเรื่องอะไรบ้าง อาจารย์สุจารีย์ ได้ย้ำถึงคำว่า “บูรณาการ” ที่เป็นชื่อหลักสูตร โดยอาจารย์มองว่าการมองทุกอย่างเป็นองค์รวมจะทำให้เราเห็นความเชื่อมโยงในศาสตร์ต่างๆ และ เห็นทั้งโอกาส จุดขาย ทางธุรกิจขึ้นมาอีกด้วย สอดคล้องกับสถาบันของเรา คือ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ที่ปลูกฝังรากฐานความคิดเรื่องธุรกิจเอาไว้
อาจารย์สุจารีย์ ยกตัวอย่างการบูรณาการและประยุกต์ใช้องค์ความรู้ที่หลากหลายในด้านสุขภาพและความงามว่า ปัจจัยสนับสนุนให้เกิดความงามและสุขภาพอย่างแท้จริง ต้องมาจากผู้รู้จริง และทุกอย่างต้องพร้อมจริงๆ ยกตัวอย่างหากเราจะริเริ่มทำสถานประกอบการด้านสุขภาพและความงาม เราควรคำนึงถึงองค์ประกอบด้าน รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสทั้ง 5 มิติ ซึ่งตรงนี้จะเป็นจุดต่างของธุรกิจได้เลย
1. รูป สถานที่เราจะตกแต่งอย่างไร? จะทาสีอะไร? แต่งสถานที่สไตล์ไหน?มีไฟวอร์มไวท์ดีไหม? ทำอย่างไรจะทำให้เกิดความสบายใจอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน
2. รส ก่อนรับบริการจะเสิร์ฟเครื่องดื่มต้อนรับด้วยน้ำสมุนไพรตามฤดูกาลเพื่อปรับสมดุลของร่างกายดีไหม? อาจารย์แนะนำอย่างช่วงหน้าร้อนนี้ ก็เลือกน้ำเก๊กฮวย น้ำใบบัวบก ที่ออกฤทธิ์ดับกระหายคลายร้อน ส่วนฤดูฝนเป็นไข้ได้ง่าย ก็เสิร์ฟด้วย น้ำตะไคร้ เพื่อฆ่าเชื้อโรค หน้าหนาวก็บริการด้วย น้ำขิง น้ำมะตูมร้อน ก่อนจะปิดท้ายหลังบริการด้วยน้ำอุ่นกรณีการนวดบริการช่วยปรับอุณภูมิที่ร่างกายสูงขึ้นขณะนวดและขับถ่ายของเสีย แบบนี้เป็นต้น
3. กลิ่น เราอาจจะใช้สเปเชียลออยผสมน้ำมันหอมระเหยเช่นเอากลิ่นลาเวนเดอร์ผสมกับเปเปอร์มินต์หรือยูคาลิปตัส เติมความรีแลค ผ่อนคลาย
4. เสียง เราอาจจะเลือกใช้ดนตรีบำบัดเป็นซาวน์เสียงน้ำไหล น้ำตก
5. สัมผัส มือของเทอราปีของเราต้องดูแลอย่างไร และเราต้องสอนการลงน้ำหนักมือ ว่าต้องเหมาะสม ไหลลื่น สมดุล ค่อยๆ ให้บริการ เพราะเป็นหัวใจหลักสำคัญในการให้บริการเรื่องสุขภาพและความงาม ทั้งหมดเป็นองค์รวม เป็นเรื่องบูรณาการ
“เราไม่เพียงเป็นที่แรกที่เปิดสอนหลักสูตรแขนงนี้ แต่เรายังเป็นที่แรกในประเทศไทยที่สอนความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ เวลเนส ศาสตร์ของการมีสุขภาพที่ดีและความงามที่ยั่งยืนอย่างสมบูรณ์ สามารถนำความรู้ไปประกอบอาชีพ สร้างธุรกิจได้จริงที่ครบวงจรและองค์ความรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ” อาจารย์สุจารีย์ กล่าว
หลักสูตรผสมผสานธุรกิจกับการลงมือทำจริง
“ไม่เพียงแต่สาขาบูรณาการสุขภาพและความงาม จะเน้นแต่เรื่องสวยๆงามๆ แต่สาขานี้ยังสอนพื้นฐานธุรกิจอีกด้วย โดยเราเริ่มสอนตั้งแต่ความเข้าใจปรับพื้นฐาน เรียนรู้เทรนด์และตลาดธุรกิจสุขภาพและความงาม การลงมือสร้างผลิตภัณฑ์ตัวอย่างของตนเองใน Lab ที่ครบครันทันสมัย เรียนเรื่องทักษะความเป็นผู้ประกอบการการที่จะต่อยอดธุรกิจ หรือ สามารถตั้ง start-up ของตัวเอง และสุดท้ายกับการศึกษาดูงานและเข้าฝึกงานกับบริษัทชั้นนำของประเทศมากมาย” อาจารย์สุจารีย์กล่าวถึงหลักสูตร
ส่วนถ้าจะให้ขยายความถึงรายละเอียดหลักสูตร อาจารย์สุจารีย์กล่าวว่า “ปี 1 จะเป็นการปูพื้นฐานวิทยาศาสตร์สุขภาพและความงาม เรียนอนาโตมี ชีววิทยา เคมีเบื้องต้น เพราะเป็นวิชาที่ต้องต่อยอดผลิตเครื่องสำอาง สกินแคร์ นวัตกรรมการดูแลผิว การนวดสุขภาพและผ่อนคลาย พอปีที่ 2 จะเข้าสู่วิชาชีพสุขภาพและความงาม เรียน 6 หมวด แบ่งเป็น ศาสตร์สุขภาพ อาหารโภชนาการ การออกกำลังกายและแอนไทเอจจิ้ง รู้จักศาสตร์ที่สอนเรื่องของการป้องกัน มากกว่าที่จะรอให้เกิดปัญหาสุขภาพ ศาสตร์ความงาม เครื่องสำอาง สปา แนวไทย แล้วก็เรื่องของการเปิดคลินิกหรือสถาบันการดูแลผิวพรรณ พอเรียนถึงปีที่ 3 จะเริ่มมีวิชาชีพระดับหนึ่ง ก็จะเข้าสู่หลักสูตรด้านการบริหารธุรกิจและทักษะความเป็นผู้ประกอบการ รู้จักการบริหารงานโรงพยาบาล ซึ่งเราเป็นหลักสูตรแห่งแรกในประเทศไทยที่เรียนเรื่องนี้ เราจะได้เรียนเรื่องของการออกแบบสุขภาพและความงาม การออกแบบแบรนด์สินค้าของตัวเองร่วมกับนักศึกษาจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ มาร่วมกันทำสินค้าและบรรจุภัณฑ์ พอถึงปี 4 ก็จะได้ฝึกงานกับพันธมิตรชั้นนำที่เรามีเครือข่าย MOUs ร่วมกัน อาทิ โรงพยาบาลผิวหนังอโศก, Slim Up Center, The skin doctor, Dr.Orn – Medical Hair Clinic, บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)”
อาจารย์สุจารีย์ บอกต่ออีกว่า จุดเด่นของวิทยาลัยการแพทย์บูรณาการคือการเรียนของเสริมในเรื่องของการพัฒนาบุคลิกภาพ ซึ่งบุคลิกภาพที่ดีเป็นสิ่งสำคัญที่จะเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ และเราจะเน้นทัศนคติในงานบริการ และการสื่อสาร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการทำงาน นักศึกษาเมื่อจบไปแล้วทำงานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของสปา ธุรกิจคลินิกความงาม เจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง เราเชิญวิทยากรมาจากบริษัทชั้นนำเป็นผู้มาสอนในเรื่องนี้ นอกจากนี้เมื่อเรียนจบยังได้ใบประกาศนียบัตรหลักสูตรการบริการเพื่อความงามจากกระทรวงสาธารณสุข ได้ใบประกาศนียบัตรมาตรฐานฝีมือแรงงานสาขานักส่งเสริมสุขภาพ และสิทธิ์ยื่นสอบ Spa Manager ใบรับรองผู้ดำเนินการสปา
เพราะเปิดทุกโอกาสให้กับผู้ที่สนใจ
“นักศึกษาที่สนใจเรื่องของความงามและสุขภาพสามารถเรียนได้หมด ไม่จำกัดแผนการเรียนว่าจะจบสายวิทยาศาสตร์ สายศิลป์ภาษา วุฒิ ม.6 ปวช. ปวส. หรือ กศน. ก็สามารถเรียนได้ ขอให้มีใจรักในสุขภาพและความงาม สำหรับ “ผู้ที่สนใจ” ที่เรียนจบปริญญาตรีไปแล้วหรือทำงานอยู่ในสายงานด้านนี้ไม่ต่ำกว่า 1 ปี ก็สามารถเข้าเรียนได้เช่นเดียวกัน โดยเรียนทุกวันพุธของทุกสัปดาห์ ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 3 ปี” อาจารย์สุจารีย์ ระบุ
“เราต้องการที่จะช่วยพัฒนาและผลักดันองค์ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพและความงาม เราเชื่อว่ามีประโยชน์และทำสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคม วิทยาลัยการแพทย์บูรณาการเชื่อว่า การมีสุขภาพองค์รวมที่ดีทั้งภายในและภายนอกจะสามารถสร้างสังคมประเทศชาติให้พัฒนารุดหน้า และขับเคลื่อนประเทศไทยของเราอย่างยั่งยืนมั่นคง เราจึงพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรให้ทันสมัยตลอดเวลา จึงมั่นใจได้ว่าจะได้รับความรู้ที่สด ใหม่ ทันสมัย และใช้ได้จริง” อาจารย์สุจารีย์ กล่าวทิ้งท้าย